แผนการจัดการเรียนรู้
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 และ 1/3 โรงเรียนทุ่งสงวิทยา
นางสาวสลาลี
โรจน์สุวรรณ
นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนทุ่งสงวิทยา
อำเภอทุ่งสง
จังหวัดนครศรีธรรมราช
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 2 รหัสวิชา ว 21102
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2555หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง บรรยากาศ
เรื่อง ความสำคัญและองค์ประกอบของบรรยากาศ เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
เรื่อง ความสำคัญและองค์ประกอบของบรรยากาศ เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน
ว 6. 1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก
ความสัมพันธ์ของ
กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้
การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน
สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ
เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม
และสิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ตัวชี้วัด
ว 6.1 ม. 1/1 สืบค้นและอธิบายองค์ประกอบและการแบ่งชั้นบรรยากาศที่ปกคลุมผิวโลก
ว 8.1 ม.1-3/1
- ม.1-3/9
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
อธิบายความสำคัญของบรรยากาศที่หุ้มห่อโลกของเราได้ (K)
2.
มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3.
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
(A)
5. สามารถแสดงความคิดเห็น
แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องบรรยากาศและความสำคัญของบรรยากาศกับเพื่อนได้ (P)
สาระสำคัญ
บรรยากาศเป็นอากาศที่อยู่รอบ
ๆ ตัวของสิ่งมีชีวิต และหุ้มห่อโลกของเรา สภาพของบรรยากาศรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงใด
ๆ ที่เกิดขึ้นกับบรรยากาศของโลกล้วนส่งผลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก
อากาศเป็นส่วนผสมของแก๊สชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ไนโตรเจน ออกซิเจน อาร์กอน
คาร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ำ และอื่น ๆ
สาระการเรียนรู้
บรรยากาศ
-
ความสำคัญของบรรยากาศ
-
องค์ประกอบของอากาศ
กระบวนการจัดการเรียนรู้
ครูดำเนินการทดสอบก่อนเรียน
โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐานของนักเรียน
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
1)
ครูนำสนทนากับนักเรียนว่าโลกของเราเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวในระบบสุริยะที่นักวิทยาศาสตร์สำรวจพบในขณะนี้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
แล้วให้นักเรียนช่วยกันคิดหาเหตุผลสนับสนุนว่า
ทำไมโลกของเราจึงเหมาะกับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต
2) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
ครูนำอภิปรายว่าการที่โลกของเรามีชั้นบรรยากาศหุ้มห่อโลกและมีแก๊สต่าง ๆ
อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้
ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนรู้กันต่อไปว่าการมีชั้นบรรยากาศหุ้มห่อมีความสำคัญต่อโลกและสิ่งมีชีวิตอย่างไรบ้าง
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ
(1) ครูนำสื่อมัลติมีเดีย
หรือวีดิทัศน์เกี่ยวกับบรรยากาศ และสภาพอากาศของโลกมาให้นักเรียนดู
แล้วตั้งประเด็นคำถาม เช่น
-
ถ้าโลกของเราไม่มีบรรยากาศหุ้มห่อไว้จะเกิดอะไรขึ้น
-
หน้าที่สำคัญของบรรยากาศมีอะไรบ้าง
-
สภาพอากาศที่อยู่บริเวณชายทะเล ยอดเขา ทะเลทรายจะมีความแตกต่างกันหรือไม่
เพราะอะไร
- สภาพอากาศที่ร้อน หนาว ฝนตก
ลมหรือมีพายุ เกิดจากอะไร ปัจจัยที่ทำให้สภาพอากาศมีความแตกต่างกันมีอะไรบ้าง
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจากแนวคำตอบของนักเรียน
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
(1)
นักเรียนแบ่งกลุ่ม ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับความสำคัญของบรรยากาศต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก
และองค์ประกอบของบรรยากาศ จากหนังสือเรียน อินเทอร์เน็ต และเอกสารต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้อง
(2)
แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานำเสนอในเรื่องที่ศึกษาค้นคว้ามา
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย นักเรียนสรุปความรู้ที่ได้ลงในสมุด
(3) นักเรียนแบ่งกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม
สังเกตไอน้ำในอากาศ แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ดังนี้
1. นำแก้วน้ำมา 1 ใบ
เทน้ำลงไปในแก้ว
2. ใส่น้ำแข็งลงไปในแก้วประมาณ
45 ก้อน สังเกตและบันทึกผล
3. ตั้งแก้วน้ำทิ้งไว้ 10 นาที
สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บันทึกผล
3)
ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
(1)
นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายผลของการปฏิบัติกิจกรรม
แล้วส่งตัวแทนออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม เช่น
-
ถ้าไม่ใช้น้ำเปล่าเราสามารถใช้สิ่งใดแทนจึงจะได้ผลใกล้เคียงกัน
-
หยดน้ำที่ปรากฏอยู่บริเวณข้างแก้วเกิดจากอะไร
- ผลสรุปของกิจกรรมนี้คืออะไร
(3)
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยให้ได้ข้อสรุปว่า
หยดน้ำที่เกาะอยู่ข้างแก้วเกิดจากการที่ไอน้ำในอากาศเคลื่อนที่มากระทบกับผิวแก้วที่เย็นกว่า
จึงเกิดการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเกาะติดอยู่ข้างแก้วให้เห็น
ทำให้สรุปได้ว่าไอน้ำมีอยู่ในอากาศ
4) ขั้นขยายความรู้
(1) นักเรียนแบ่งกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม สืบค้นข้อมูลองค์ประกอบของอากาศ
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. ให้แต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น หนังสือเรียน
หนังสืออ้างอิง หนังสือประกอบ หนังสือพิมพ์ วารสารต่าง ๆ
หรือทางอินเทอร์เน็ตที่มีเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องต่อไปนี้
บรรยากาศ
องค์ประกอบของอากาศ
2.
นำข้อมูลที่ได้ในแต่ละกลุ่มมาสรุปและอภิปรายร่วมกันในชั้นเรียน
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม
(3)
ให้นักเรียนดูแผนภูมิแสดงองค์ประกอบของอากาศ ในหนังสือเรียนหรือที่ครูจัดทำขึ้น
ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนภูมิ รวมทั้งแก๊ส ไอน้ำ และสารแขวนลอยต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของอากาศ
(4)
นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการที่มีไอน้ำอยู่ในอากาศมาก
กับการที่มีไอน้ำอยู่ในบรรยากาศน้อยมีผลดี ผลเสียอย่างไร
และการที่อากาศประกอบด้วยแก๊สต่าง ๆ
หลายชนิดในอัตราส่วนที่ไม่เท่ากันมีข้อดีหรือข้อเสียต่อสิ่งมีชีวิตในเรื่องใด
(5)
นักเรียนค้นคว้าคำศัพท์ภาษาภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับบรรยากาศ จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต
แล้วบันทึกลงในสมุด
(5) ขั้นประเมิน
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า
จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม
มีจุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย
ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด
และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3)
นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม
และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4)
ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น
- ถ้าไม่มีอากาศหรือบรรยากาศหุ้มห่อโลกของเรา
ในเวลากลางวัน และกลางคืนโลกจะมีการเปลี่ยนอุณหภูมิในลักษณะใด
- บรรยากาศประกอบด้วยแก๊สชนิดใดบ้าง
-
แก๊สที่ช่วยในการปรุงอาหารของพืชคือแก๊สชนิดใด
-
องศ์ประกอบของอากาศมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับอะไร
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของบรรยากาศและองค์ประกอบของบรรยากาศ
โดยร่วมกันสรุปเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
กิจกรรมเสนอแนะ
นักเรียนช่วยกันจัดป้ายนิเทศแสดงความสำคัญและองค์ประกอบของบรรยากาศ
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1) สื่อมัลติมีเดีย หรือวีดิทัศน์เกี่ยวกับบรรยากาศ
และสภาพอากาศของโลก
2) หนังสืออ้างอิง
หนังสืออ่านประกอบ วารสาร ฯลฯ
3)
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องทางอินเทอร์เน็ต
4) ใบงานที่ 1 สังเกตไอน้ำในอากาศ
5)
ใบงานที่ 2 สืบค้นข้อมูลองค์ประกอบของอากาศ
6) หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
การวัดและการประเมินผล
สิ่งที่ต้องการวัด
|
วิธีการวัด
|
เครื่องมือวัด
|
เกณฑ์การประเมินผล
|
1. ด้านความรู้ความเข้าใจ
|
-
ซักถามความรู้เรื่องความสำคัญของบรรยากาศและองค์ประกอบของอากาศ
-
ให้นักเรียนบันทึกสิ่งที่เรียนรู้
- ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม
-ประเมินกิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน
-ทดสอบก่อนเรียน
|
- สมุดบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
2. ด้านทักษะกระบวน
การ
|
-
ให้นักเรียนศึกษาหาความรู้จากใบความรู้โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์
-ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
- สังเกตการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
|
-
ใบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
3. ด้านเจตคติทางวิทยา
ศาสตร์
|
- สังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน
|
-
แบบประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ
2
|
บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ปัญหาและอุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนวทางการแก้ไขเพื่อจะนำไปใช้ในครั้งต่อไป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………ผู้สอน
(นางสาวสลาลี
โรจน์สุวรรณ)
ข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………..……………….อาจารย์พี่เลี้ยง
(นางพรทิพย์ เชยบัวแก้ว)
ใบงานที่ 1
สังเกต ไอน้ำในอากาศ
ปัญหา
…………………………………………………………………………………………………
อุปกรณ์
1. แก้ว 1 ใบ 2.
น้ำแข็ง 4–5 ก้อน
3. น้ำ 30 ลบ.ซม. 4. นาฬิกา 1 เรือน
ขั้นตอนการสังเกต
1.
นำแก้วน้ำมา 1 ใบ เทน้ำลงไปในถ้วยแก้ว
2.
ใส่น้ำแข็งลงไปในแก้วประมาณ 4–5 ก้อน สังเกตและบันทึกผล
3.
ตั้งแก้วน้ำทิ้งไว้ 10 นาที สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บันทึกผล
แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ทดลองไอน้ำในอากาศ
บันทึกผลการสังเกต
รายการ
|
ผลการสังเกต
|
เริ่มการสังเกต
|
|
ตั้งทิ้งไว้
10 นาที
|
|
สรุปผล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามท้ายการทดลอง
1.
ถ้าไม่ใช้น้ำเปล่า นักเรียนคิดว่าเราสามารถใช้สิ่งใดแทนจึงจะได้ผลใกล้เคียงกัน
……………………………………………………………………………………………………………......
2. จากการสังเกตพบการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
3. หยดน้ำที่ปรากฏอยู่บริเวณข้างแก้วเกิดจากอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ผลสรุปของการทดลองนี้คืออะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. นักเรียนได้ประโยชน์อะไรจากการปฏิบัติกิจกรรมนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ใบงานที่ 2
สืบค้นข้อมูลองค์ประกอบของอากาศ
ปัญหา
……………………………………………………………………………………………………………
ขั้นตอนการสืบค้นข้อมูล
1.
แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 35 คน
2.
ให้แต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น
หนังสือเรียน หนังสืออ้างอิง หนังสือประกอบ หนังสือพิมพ์ วารสารต่าง ๆ หรือทางอินเทอร์เน็ตที่มีเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องต่อไปนี้
1) บรรยากาศ
2) องค์ประกอบของอากาศ
3.
นำข้อมูลที่ได้ในแต่ละกลุ่มมาสรุปและอภิปรายร่วมกันในชั้นเรียน
บันทึกผลการสืบค้นข้อมูล
รายการบันทึกผลการสืบค้นข้อมูล
|
วันที่_______ เดือน ____________________ พ.ศ. _________
ทำลงในสมุด
|
คำถาม
1.
อากาศประกอบด้วยแก๊สต่าง ๆ ไอน้ำ และฝุ่นละออง แก๊สที่มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตมากที่สุดคืออะไร
และมีอยู่ร้อยละเท่าไร
2.
ถ้านักเรียนนำแผ่นกระดาษทิ้งไว้กลางสนามหญ้า พอรุ่งเช้าสังเกตเห็นหยดน้ำติดอยู่บนแผ่นกระดาษทั้ง
ๆ ที่ฝนไม่ตก หยดน้ำนั้นมาจากที่ใด
3. องค์ประกอบของอากาศมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับอะไร
4. นักเรียนคิดว่า การที่อากาศประกอบด้วยแก๊สต่าง
ๆ หลายชนิดในอัตราส่วนที่ไม่เท่ากันมีข้อดีหรือข้อเสียต่อสิ่งมีชีวิตในเรื่องใด
5. นักเรียนคิดว่า
ป่าไม้เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของอากาศในลักษณะใด
แผนการจัดการเรียนรู้ที่
2
วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 2 รหัสวิชา ว 21102
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2555หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง บรรยากาศ
เรื่อง การแบ่งชั้นบรรยากาศ เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
เรื่อง การแบ่งชั้นบรรยากาศ เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน
ว 6. 1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก
ความสัมพันธ์ของ
กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้
การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน
สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ
เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม
และสิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ตัวชี้วัด
ว 6.1 ม. 1/1
สืบค้นและอธิบายองค์ประกอบและการแบ่งชั้นบรรยากาศที่ปกคลุมผิวโลก
ว 8.1 ม.1-3/1
- ม.1-3/9
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
อธิบายลักษณะสำคัญของบรรยากาศที่ปกคลุมผิวโลกแต่ละชั้นได้ (K)
2.
มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3.
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
4.
พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5.
ระบุเกณฑ์ที่ใช้แบ่งชั้นบรรยากาศของโลกได้ (P)
6. สามารถแสดงความคิดเห็น
แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการแบ่งชั้นบรรยากาศกับเพื่อนได้ (P)
สาระสำคัญ
การแบ่งชั้นบรรยากาศจำแนกตามลักษณะที่ปรากฏเด่นชัด
คือ อุณหภูมิ สมบัติของแก๊ส และสมบัติทางอุตุนิยมวิทยา
สาระการเรียนรู้
บรรยากาศ
- การแบ่งชั้นบรรยากาศ
กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
1)
ครูตั้งประเด็นคำถาม เช่น
นักเรียนรู้หรือไม่ว่าบรรยากาศที่หุ้มห่อโลกของเราอยู่นี้มีขอบเขตมากน้อยเพียงใด
อุณหภูมิบรรยากาศมีการเปลี่ยนแปลงตามระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นจากพื้นโลกหรือไม่
อย่างไร
แก๊สต่าง ๆ
ในบรรยากาศมีการเปลี่ยนแปลงตามระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นจากพื้นโลกหรือไม่ อย่างไร
2) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
ครูแนะนำว่าถ้ายังไม่แน่ใจในคำตอบ เราสามารถศึกษาได้ในหัวข้อที่จะเรียนต่อไปนี้
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ
(1) ครูนำแผนภาพหรือซีดีรอมเกี่ยวกับการแบ่งชั้นบรรยากาศของโลกมาให้นักเรียนดู แล้วถามนักเรียนว่า
เพราะเหตุใดนักวิทยาศาสตร์จึงแบ่งชั้นบรรยากาศของโลกออกเป็นชั้นต่าง ๆ
นักวิทยาศาสตร์แบ่งบรรยากาศออกเป็นชั้น ๆ โดยใช้เกณฑ์อะไรบ้าง
(2) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ
(ปริศนาความคิด) ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน
แต่ละคนศึกษา 1 หัวข้อ ดังนี้
การแบ่งชั้นบรรยากาศตามเกณฑ์อุณหภูมิ
การแบ่งชั้นบรรยากาศตามเกณฑ์สมบัติของแก๊สในบรรยากาศ
การแบ่งชั้นบรรยากาศตามเกณฑ์อุตุนิยมวิทยา
-
สมาชิกในกลุ่มช่วยกันสืบค้นข้อมูลในห้องสมุด อินเทอร์เน็ต
นำข้อมูลที่ได้มาร่วมกันอภิปรายจนสมาชิกทุกคนในกลุ่มเข้าใจ เรียบเรียงข้อมูลทำเป็นรายงาน
3)
ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
(1)
นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม เช่น
การแบ่งชั้นบรรยากาศโดยใช้อุณหภูมิเป็นเกณฑ์แบ่งออกเป็นกี่ชั้น อะไรบ้าง
เครื่องบินมักทำการบินอยู่ในบรรยากาศชั้นใด
เพราะอะไร
การแบ่งชั้นบรรยากาศตามเกณฑ์สมบัติของแก๊สในบรรยากาศแบ่งออกเป็นกี่ชั้น อะไรบ้าง
แก๊สไฮโดรเจนและฮีเลียมมีมากในบรรยากาศชั้นใด
การแบ่งชั้นบรรยากาศตามเกณฑ์อุตุนิยมวิทยาแบ่งออกเป็นกี่ชั้น อะไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม
4) ขั้นขยายความรู้
นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับลักษณะสำคัญของบรรยากาศชั้นที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
และถ้าบรรยากาศแต่ละชั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
สรุปความรู้ที่ได้ลงในสมุด
5) ขั้นประเมิน
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า
จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม
มีจุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย
ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2)
นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด
และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3)
นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม
และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4)
ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น
ในช่วงระยะความสูงจากระดับน้ำทะเล
010 กิโลเมตร ลักษณะอุณหภูมิของอากาศเป็นแบบใด
การแบ่งชั้นบรรยากาศตามเกณฑ์อุณหภูมิแตกต่างจากการแบ่งตามเกณฑ์สมบัติของแก๊สในบรรยากาศ
ในเรื่องใดบ้าง
บรรยากาศชั้นใดที่มีการสะท้อนคลื่นวิทยุได้ดี
จุดเด่นของบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์คืออะไร
ขั้นสรุป
1)
นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับการแบ่งชั้นบรรยากาศ
โดยร่วมกันเขียนสรุปเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
2) ครูดำเนินการทดสอบหลังเรียน
โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อวัดความก้าวหน้า/ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ตอนที่ 1 ของนักเรียน
กิจกรรมเสนอแนะ
นักเรียนแบ่งกลุ่มทำแผนภาพ
หรือจัดป้ายนิเทศ เกี่ยวกับการแบ่งชั้นบรรยากาศของโลก โดยมีการบอกจุดเด่น
หรือลักษณะสำคัญของบรรยากาศแต่ละชั้น
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1) แผนภาพหรือซีดีรอม การแบ่งชั้นบรรยากาศของโลก
2) ห้องสมุด
3) อินเทอร์เน็ต
4) หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
การวัดและการประเมินผล
สิ่งที่ต้องการวัด
|
วิธีการวัด
|
เครื่องมือวัด
|
เกณฑ์การประเมินผล
|
1. ด้านความรู้ความเข้าใจ
|
-
ซักถามความรู้เรื่องการแบ่งชั้นบรรยากาศที่ปกคลุมผิวโลก
-
ให้นักเรียนบันทึกสิ่งที่เรียนรู้
- ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม
- ประเมินกิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน
- ทดสอบหลังเรียน
|
- สมุดบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
2. ด้านทักษะกระบวน
การ
|
-
ให้นักเรียนศึกษาหาความรู้จากใบความรู้โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์
- ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
- สังเกตการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
|
- ใบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
3. ด้านเจตคติทางวิทยา
ศาสตร์
|
- สังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน
|
-
แบบประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ
2
|
บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ปัญหาและอุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนวทางการแก้ไขเพื่อจะนำไปใช้ในครั้งต่อไป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………ผู้สอน
(นางสาวสลาลี
โรจน์สุวรรณ)
ข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………..……………….อาจารย์พี่เลี้ยง
(นางพรทิพย์ เชยบัวแก้ว)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่
3
วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 2 รหัสวิชา ว 21102
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2555หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง บรรยากาศ
เรื่อง อุณหภูมิ เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
เรื่อง อุณหภูมิ เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน
ว 6. 1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก
ความสัมพันธ์ของ
กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้
การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน
สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ
เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม
และสิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ตัวชี้วัด
ว 6.1 ม. 1/2 ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง
อุณหภูมิ ความชื้นและความกดอากาศที่มีผลต่อ
ปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศ
ว 8.1 ม.1-3/1 - ม.1-3/9
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
อธิบายการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของอากาศได้ (K)
2. ฝึกใช้เทอร์มอมิเตอร์วัดอุณหภูมิได้
(P)
3.
มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์
(A)
5.
พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
6.
สื่อสารและนำความรู้เรื่องอุณหภูมิไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P)
สาระสำคัญ
อุณหภูมิของอากาศ
คือ ระดับความร้อนของอากาศที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา เนื่องจากโลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน
ในตอนเช้าและตอนเย็นอุณหภูมิของอากาศจะลดลง และจะมีอุณหภูมิสูงสุดในตอนกลางวัน
อุณหภูมิของอากาศที่ระดับพื้นดินจะสูงกว่าอุณหภูมิของระดับที่สูงขึ้นไป
เครื่องมือที่ใช้วัดอุณหภูมิ คือ เทอร์มอมิเตอร์
สาระการเรียนรู้
อุณหภูมิ
กระบวนการจัดการเรียนรู้
ครูดำเนินการทดสอบก่อนเรียน
โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อม และพื้นฐานของนักเรียน
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
(1) ครูตั้งประเด็นคำถาม
เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่องอุณหภูมิของอากาศ เช่น
ทำไมในตอนกลางวันอากาศจึงร้อนมากกว่าตอนเช้าและตอนเย็น
ในฤดูหนาว
ภาคใดของประเทศไทยที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุด เป็นเพราะเหตุใด
ในฤดูร้อน
ภาคใดของประเทศไทยที่มีอากาศร้อนที่สุด เป็นเพราะเหตุใด
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจากแนวคำตอบของนักเรียน
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ
(1)
ครูถามนักเรียนว่าถ้าจะวัดอุณหภูมิของอากาศจะใช้เครื่องมืออะไรในการวัด
และมีวิธีการวัดอย่างไร
(2) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
ครูบอกนักเรียนว่าสามารถหาคำตอบได้จากการปฏิบัติกิจกรรมต่อไปนี้
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
นักเรียนแบ่งกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม
สังเกตอุณหภูมิของอากาศ แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้
ดังนี้
1.
นำเทอร์มอมิเตอร์ไปติดตั้งกับขาตั้ง
โดยใช้ที่จับหนีบเทอร์มอมิเตอร์ยึดไว้กับขาตั้ง ดังรูปในหนังสือเรียน
|
2.
ตั้งเทอร์มอมิเตอร์ไว้ในบริเวณที่จะทำการวัดอุณหภูมิของอากาศ
3.
บันทึกอุณหภูมิของอากาศทุก ๆ 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ 08.00 น. ถึง 18.00 น. ลงในตารางบันทึกผลการสำรวจ
4.
เขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับเวลา
3)
ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายผลของการปฏิบัติกิจกรรม
แล้วส่งตัวแทนออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม เช่น
หน้าที่สำคัญของเทอร์มอมิเตอร์คืออะไร
จากการปฏิบัติกิจกรรม อุณหภูมิจะสูงสุดในช่วงเวลาใด
นักเรียนคิดว่าอุณหภูมิในแต่ละท้องถิ่นในช่วงเวลาเดียวกันจะมีค่าเท่ากันหรือไม่
เพราะเหตุใด
อุณหภูมิของอากาศมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะใด
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม โดยให้ได้ข้อสรุปว่า
อุณหภูมิของอากาศจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาใน 1 วัน
โดยในตอนเช้าอุณหภูมิจะต่ำและค่อย ๆ สูงขึ้นจนกระทั่งสูงสุดในตอนบ่าย และจะค่อย ๆ
ลดต่ำลงในตอนเย็น
(4) ครูใช้แผนภาพในหนังสือเรียน
หรือแผนภาพที่ครูทำขึ้นใหม่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ใน 1 วัน
การหมุนรอบตัวเองของโลก ระยะช่วงเวลาของฤดูกาลต่าง ๆ ในประเทศไทย
ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ที่ส่องมายังพื้นผิวโลกในฤดูหนาวและฤดูร้อน
ประกอบการอธิบายสาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของอากาศ
4) ขั้นขยายความรู้
(1)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายอุณหภูมิของพื้นดินและพื้นน้ำ
(2) ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือวัดอุณหภูมิแบบต่าง
ๆ นำข้อมูลที่ได้มาจัดเป็นป้ายนิเทศ จัดแสดงให้ความรู้หน้าชั้นเรียน
(5) ขั้นประเมิน
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า
จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม
มีจุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2)
นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด
และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3)
นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม
และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4)
ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น
สาเหตุที่ทำให้อากาศใกล้พื้นดินมีอุณหภูมิสูงกว่าอากาศในระดับสูงขึ้นไป
ทั้ง ๆ ที่ยิ่งสูงก็ยิ่งอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ คืออะไร
เมื่อขึ้นไปบนภูเขาสูง ๆ
อุณหภูมิของอากาศจะมีลักษณะใด
ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของอากาศ
พื้นดินและพื้นน้ำจะสามารถรับเอาพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ได้เท่ากันหรือไม่
อย่างไร
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับอุณหภูมิของอากาศ
กิจกรรมเสนอแนะ
1.
นักเรียนนำเทอร์มอมิเตอร์ไปวัดอุณหภูมิที่บ้านในวันหยุด
แล้วนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกัน หรือเมื่อนักเรียนไปเที่ยวบนภูเขาสูง
ลองนำเทอร์มอมิเตอร์ติดตัวไปด้วยเพื่อวัดอุณหภูมิของอากาศ
2.
ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลสถิติอุณหภูมิของประเทศไทยในฤดูกาลต่าง ๆ ย้อนหลัง 5-10 ปี
นำข้อมูลที่ได้มาจัดกระทำให้เข้าใจได้ง่าย
จัดเป็นป้ายนิเทศให้ความรู้หน้าชั้นเรียน
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1.
แผนภาพเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ใน 1 วัน การหมุนรอบตัวเองของโลก
2. ใบงานที่ 3
สังเกตอุณหภูมิของอากาศ
3. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
การวัดและการประเมินผล
สิ่งที่ต้องการวัด
|
วิธีการวัด
|
เครื่องมือวัด
|
เกณฑ์การประเมินผล
|
1. ด้านความรู้ความเข้าใจ
|
-
ซักถามความรู้เรื่องอุณหภูมิ
-
ให้นักเรียนบันทึกสิ่งที่เรียนรู้
- ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม
- ประเมินกิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน
- ทดสอบหลังเรียน
|
- สมุดบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
2. ด้านทักษะกระบวน
การ
|
-
ให้นักเรียนศึกษาหาความรู้จากใบความรู้โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์
- ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
- สังเกตการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
|
- ใบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
3. ด้านเจตคติทางวิทยา
ศาสตร์
|
- สังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน
|
-
แบบประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ
2
|
บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ปัญหาและอุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนวทางการแก้ไขเพื่อจะนำไปใช้ในครั้งต่อไป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………ผู้สอน
(นางสาวสลาลี
โรจน์สุวรรณ)
ข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………..……………….อาจารย์พี่เลี้ยง
(นางพรทิพย์ เชยบัวแก้ว)
ใบงานที่ 3
สังเกต อุณหภูมิของอากาศ
ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………….........
อุปกรณ์
1.
เทอร์มอมิเตอร์ 1 อัน
2.
ขาตั้ง 1
อัน
3.
ที่จับ 2
อัน
4.
นาฬิกา 1
เรือน
ขั้นตอนการสังเกต
1.
นำเทอร์มอมิเตอร์ไปติดตั้งกับขาตั้งโดยใช้ที่จับหนีบเทอร์มอมิเตอร์ยึดไว้กับขาตั้ง
ดังรูป
2.
ตั้งเทอร์มอมิเตอร์ไว้ในบริเวณที่จะทำการวัดอุณหภูมิของอากาศ
3.
บันทึกอุณหภูมิของอากาศทุก ๆ 2 ชั่วโมง ตั้งแต่ 08.00 น. ถึง 18.00
น. ลงในตารางบันทึกผล
การสำรวจ
4.
เขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับเวลา
|
หมายเหตุ
อุณหภูมิของอากาศจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของแต่ละท้องถิ่นที่นักเรียนทำการสำรวจ
บันทึกผลการสำรวจ
เวลา (ชั่วโมง)
|
อุณหภูมิที่วัดได้ (๐C)
|
เวลา (ชั่วโมง)
|
อุณหภูมิที่วัดได้ (๐C)
|
8.00
|
|
14.00
|
|
10.00
|
|
16.00
|
|
12.00
|
|
18.00
|
|
เขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับเวลา
สรุปผล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถาม
1.
หน้าที่สำคัญของเทอร์มอมิเตอร์คืออะไร
………………………………………………………………………………………………………
2.
นักเรียนคิดว่าอุณหภูมิในแต่ละท้องถิ่นในช่วงเวลาเดียวกันมีค่าเท่ากันหรือไม่
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.
อุณหภูมิของอากาศมีลักษณะอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4.
จากการปฏิบัติกิจกรรมอุณหภูมิจะขึ้นสูงสุดในช่วงเวลาใด
………………………………………………………………………………………………………
5.
นักเรียนได้ประโยชน์อะไรจากการปฏิบัติกิจกรรมนี้
………………………………………………………………………………………………………
แผนการจัดการเรียนรู้ที่
4
วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 2 รหัสวิชา ว 21102
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2555หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง บรรยากาศ
เรื่อง ความชื้น เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
เรื่อง ความชื้น เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน
ว 6. 1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก
ความสัมพันธ์ของ
กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ
และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา
รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน
สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ
เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม
และสิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ตัวชี้วัด
ว 6.1 ม. 1/2 ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง
อุณหภูมิ ความชื้นและความกดอากาศที่มีผลต่อ
ปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศ
ว 8.1 ม.1-3/1 - ม.1-3/9
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
อธิบายความหมายและผลของความชื้นในอากาศต่อชีวิตประจำวันได้ (K)
2.
ระบุเครื่องมือและหลักการวัดความชื้นในอากาศได้ (K)
3.
มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4.
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5.
สื่อสารและนำความรู้เรื่องความชื้นของอากาศไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P)
สาระสำคัญ
ความชื้น คือ
ปริมาณไอน้ำในอากาศ ซึ่งเกิดจากการระเหยของน้ำจากแหล่งต่าง ๆ บนพื้นผิวโลก
และการคายน้ำของพืชทำให้เกิดไอน้ำขึ้น ความชื้นของอากาศมี 2 ลักษณะ ได้แก่
ความชื้นสัมบูรณ์ และความชื้นสัมพัทธ์ เครื่องมือในการวัดความชื้นในบรรยากาศ
ได้แก่ ไฮโกรมิเตอร์แบบกระเปาะเปียกและกระเปาะแห้ง
เครื่องวัดความชื้นแบบเส้นผมหรือแฮร์ไฮโกรมิเตอร์
สาระการเรียนรู้
ความชื้น
กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
1)
ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับอากาศชื้น อากาศแห้ง
เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่องความชื้น โดยใช้แนวคำถาม เช่น
อากาศชื้นคืออะไร
อากาศแห้งคืออะไร
นักเรียนจะมีวิธีสังเกตอย่างไรว่าวันนี้อากาศชื้นมากหรือน้อย
นักเรียนคิดว่าอุณหภูมิของอากาศเกี่ยวข้องกับความชื้นหรือไม่
อย่างไร
2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจากแนวคำตอบของนักเรียน ครูเพิ่มเติมว่า
การที่ร่างกายของเรารู้สึกร้อนหรือเย็น
นอกจากจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิแล้วยังขึ้นอยู่กับความชื้นด้วย
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ
(1) ครูให้นักเรียนดูภาพหรือซีดีรอมเกี่ยวกับพื้นที่ที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์
พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลาย บริเวณริมทะเลสาบหรือทะเล และบริเวณทะเลทราย
แล้วตั้งประเด็นคำถาม เช่น
บริเวณใดน่าจะมีความชื้นในอากาศมาก
เพราะอะไร
การตัดไม้ทำลายป่ามีผลต่อความชื้นในอากาศหรือไม่ ในลักษณะใด
ไอน้ำในอากาศส่วนใหญ่ได้มาจากแหล่งใด
การระเหยของน้ำมีความสัมพันธ์กับความชื้นหรือไม่ ในลักษณะใด
(2) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
(1)
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับความชื้น อากาศไม่อิ่มตัว อากาศอิ่มตัวในหนังสือเรียน
(2)
นักเรียนแบ่งกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม สังเกตความชื้นของบรรยากาศกับการระเหย
แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ ดังนี้
1.
ใช้สำลีชุบน้ำแล้วหุ้มกระเปาะเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง 2 อัน เพื่อให้เทอร์มอมิเตอร์เปียก
บันทึก
อุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง
2 อัน
2.
ใส่น้ำลงในกล่องพลาสติกเบอร์ 3 ประมาณครึ่งหนึ่ง แล้วเสียบเทอร์มอมิเตอร์อันหนึ่งลงกลางแผ่นดินน้ำมัน
จากนั้นนำไปปิดที่กล่องพลาสติกแทนฝากล่อง แล้วจัดให้กระเปาะของเทอร์มอมิเตอร์ที่หุ้มด้วยสำลีอยู่เหนือผิวน้ำเล็กน้อย
นำเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง 2 อันไปติดตั้งกับขาตั้ง ตามรูปในหนังสือเรียน
3.
ตั้งเทอร์มอมิเตอร์ทิ้งไว้ประมาณ 5
นาทีแล้วบันทึกอุณหภูมิที่อ่านได้จากเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง 2 อัน
3)
ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม เช่น
หลังจากตั้งทิ้งไว้ 5 นาที
อุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ทั้งสองแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
การใช้สำลีชุบน้ำหุ้มกระเปาะเทอร์มอมิเตอร์ ถ้าสำลีเปียกน้ำไม่เท่ากันจะมีผลต่อกิจกรรมนี้หรือไม่
เพราะเหตุใด
เพราะเหตุใดเทอร์มอมิเตอร์กระเปาะเปียกที่อยู่ในกล่องที่มีน้ำ อุณหภูมิจึงไม่ลดลง
(3)
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยให้ได้ข้อสรุปว่า
กระเปาะเทอร์มอมิเตอร์อันที่อยู่ในกล่อง อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง
เนื่องจากน้ำที่อยู่ในกล่องระเหยกลายเป็นไออยู่ในที่ว่างภายในกล่องเต็มไปหมด
ทำให้น้ำจากสำลีที่หุ้มกระเปาะเทอร์มอมิเตอร์ระเหยเข้าสู่ที่ว่างดังกล่าวไม่ได้หรือได้ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เรียกสภาวะอากาศเหนือน้ำในกล่องว่า อากาศอิ่มตัว
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับความชื้นสัมบูรณ์
ความชื้นสัมพัทธ์ และการวัดความชื้นในอากาศ
4) ขั้นขยายความรู้
(1)
นักเรียนฝึกคำนวณหาความชื้นสัมบูรณ์และความชื้นสัมพัทธ์จากโจทย์ที่ครูกำหนดให้
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายในประเด็น
ความชื้นสัมพัทธ์มีความเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ในเรื่องใด
(3)
นักเรียนฝึกใช้เครื่องมือวัดความชื้นของอากาศ โดยวัดความชื้นในบริเวณต่าง ๆ
ของโรงเรียนในเวลาต่าง ๆ กัน แล้วบันทึกค่าที่ได้ลงในสมุด
5) ขั้นประเมิน
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า
จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม
มีจุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย
ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2)
นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด
และได้มีการแก้ไขอย่างบ้าง
(3)
นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม
และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4)
ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น
ความชื้นในอากาศจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งใด
ในฤดูหนาวตากผ้าแห้งเร็วทั้งที่อากาศไม่ร้อน เนื่องจากสาเหตุใด
ถ้าในอากาศมีความชื้นสัมพัทธ์มาก
เราจะรู้สึกอย่างไร
ความชื้นที่พอเหมาะสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์มีค่าเท่ากับเท่าใด (ร้อยละ 60
ของไอน้ำในอากาศอิ่มตัว)
กิจกรรมเสนอแนะ
1.
นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 56 คน
ช่วยกันศึกษาค้นคว้าวิธีการประดิษฐ์ไฮโกรมิเตอร์แบบเส้นผม หรืออาจช่วยกันออกแบบขึ้นเอง
โดยครูเป็นผู้ชี้แนะและให้ความช่วยเหลือ แล้วนำเสนอผลงานที่นักเรียนสร้างขึ้น
2.
นักเรียนร่วมกันปลูกต้นไม้
หรือรณรงค์ให้มีการปลูกต้นไม้ในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศ
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1.
ภาพหรือซีดีรอมเกี่ยวกับพื้นที่ที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลาย
บริเวณริมทะเลสาบหรือทะเล บริเวณทะเลทราย
2. ใบงานที่ 4 สังเกตความชื้นของบรรยากาศกับการระเหย
3.
หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
การวัดและการประเมินผล
สิ่งที่ต้องการวัด
|
วิธีการวัด
|
เครื่องมือวัด
|
เกณฑ์การประเมินผล
|
1. ด้านความรู้ความเข้าใจ
|
-
ซักถามความรู้เรื่องความชื้นของอากาศ
-
ให้นักเรียนบันทึกสิ่งที่เรียนรู้
- ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม
- ประเมินกิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน
- ทดสอบหลังเรียน
|
- สมุดบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
2. ด้านทักษะกระบวน
การ
|
-
ให้นักเรียนศึกษาหาความรู้จากใบความรู้โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์
- ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
- สังเกตการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
|
- ใบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
3. ด้านเจตคติทางวิทยา
ศาสตร์
|
- สังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน
|
-
แบบประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ
2
|
บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ปัญหาและอุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนวทางการแก้ไขเพื่อจะนำไปใช้ในครั้งต่อไป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………ผู้สอน
(นางสาวสลาลี
โรจน์สุวรรณ)
ข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………..……………….อาจารย์พี่เลี้ยง
(นางพรทิพย์ เชยบัวแก้ว)
ใบงานที่ 4
สังเกตความชื้นของอากาศ
ปัญหา
……………………………………………………………………………………………………………….
อุปกรณ์
1.
สำลี 2 ก้อน 2.
กล่องพลาสติกเบอร์ 3 1 กล่อง
3.
ด้ายหรือยางรัด 2 เส้น 4.
ดินน้ำมัน 1 ก้อน
5.
เทอร์มอมิเตอร์ 2 อัน 6.
ขาตั้ง 1 อัน
7.
ที่จับ 2 อัน 8.
นาฬิกาจับเวลา 1 เรือน
ขั้นตอนการสังเกต
1.
ใช้สำลีชุบน้ำแล้วหุ้มกระเปาะเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง 2 อัน เพื่อให้เทอร์มอมิเตอร์เปียก
บันทึกอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง 2 อัน
2.
ใส่น้ำลงในกล่องพลาสติกเบอร์ 3 ประมาณครึ่งหนึ่ง แล้วเสียบเทอร์มอมิเตอร์อันหนึ่งลงกลางแผ่นดินน้ำมัน
จากนั้นนำไปปิดที่กล่องพลาสติกแทนฝากล่อง แล้วจัดให้กระเปาะของเทอร์มอมิเตอร์ที่หุ้มด้วยสำลีอยู่เหนือผิวน้ำเล็กน้อย
นำเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง 2 อันไปติดตั้งกับขาตั้ง ดังรูป
3.
ตั้งเทอร์มอมิเตอร์ทิ้งไว้ประมาณ 5
นาทีแล้วบันทึกอุณหภูมิที่อ่านได้จากเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง 2 อัน
บันทึกผลการสังเกต
การวัดอุณหภูมิ
|
อุณหภูมิที่อ่านได้
(
ํC)
|
|
อันที่ 1 (ในกล่อง)
|
อันที่ 2
|
|
ก่อนการสังเกต
|
|
|
หลังจากตั้งทิ้งไว้ 5 นาที
|
|
|
สรุปผล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามท้ายการทดลอง
1.
การวัดอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์หุ้มสำลีชุบน้ำทั้งสองก่อนการทดลองเพื่ออะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2.
อุณหภูมิก่อนการทดลองของเทอร์มอมิเตอร์ทั้งสองเหมือนหรือแตกต่างกัน
……………………………………………………………………………………………………………..
3.
การใช้สำลีชุบน้ำหุ้มเทอร์มอมิเตอร์ ถ้าสำลีเปียกน้ำไม่เท่ากันจะมีผลต่อการทดลองหรือไม่
เพราะ
เหตุใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4.
เพราะเหตุใดเทอร์มอมิเตอร์กระเปาะเปียกที่อยู่ในกล่องที่มีน้ำ
อุณหภูมิจึงไม่ลดลง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5.
นักเรียนได้ประโยชน์อะไรจากการปฏิบัติกิจกรรมนี้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจัดการเรียนรู้ที่
5
วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 2 รหัสวิชา ว 21102
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2555หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง บรรยากาศ
เรื่อง ความกดอากาศ เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
เรื่อง ความกดอากาศ เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน
ว 6. 1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก
ความสัมพันธ์ของ
กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา
รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน
สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ
เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ตัวชี้วัด
ว 6.1 ม. 1/2 ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง
อุณหภูมิ ความชื้นและความกดอากาศที่มีผลต่อ
ปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศ
ว 8.1 ม.1-3/1 - ม.1-3/9
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
อธิบายความหมายของความกดอากาศได้ (K)
2.
อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศได้ (K)
3.
มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4.
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5.
สื่อสารและนำความรู้เรื่องความกดอากาศไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P)
สาระสำคัญ
ความกดอากาศ คือ
ค่าแรงดันของอากาศต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ที่รองรับแรงดันนั้น
หรืออัตราส่วนของแรงดันต่อหน่วยพื้นที่ตั้งฉากที่แรงดันนั้นกระทำ
ที่ระดับความสูงเดียวกันความดันอากาศจะเท่ากัน เมื่อความสูงเพิ่มขึ้น
อุณหภูมิและความกดอากาศจะลดลง เครื่องมือในการวัดความกดอากาศมีหลายชนิด เช่น
บารอมิเตอร์แบบปรอท แอนิรอยด์บารอมิเตอร์ บอรอกราฟ แอลติมิเตอร์
สาระการเรียนรู้
ความกดอากาศ
กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
1)
ครูนำหนังสือหลาย ๆ เล่มมาวางซ้อนกันหน้าชั้นเรียน แล้วถามนักเรียนว่า
หนังสือเล่มใดถูกแรงกดมากที่สุด
หนังสือเล่มใดถูกแรงกดน้อยที่สุด
2)
นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม ครูนำอภิปรายว่าบริเวณพื้นโลกเปรียบได้กับหนังสือเล่มที่
1 อากาศที่อยู่เหนือพื้นโลกเปรียบได้กับหนังสือเล่มที่ 2
ดังนั้นพื้นผิวโลกจึงถูกแรงกดจากอากาศที่อยู่สูงขึ้นไป แรงชนิดนี้เรียกว่า แรงดันอากาศ
หรือความดันอากาศ ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนรู้ในหัวข้อต่อไปนี้
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ
(1) ครูรินน้ำอุ่นจากกระติกน้ำร้อนลงในขวดพลาสติกใส
(ขวดน้ำขนาดเล็ก) เขย่าขวดแล้วเทน้ำออก ปิดฝาขวดให้แน่นทันที
เมื่อทิ้งขวดไว้สักครู่ ขวดจะบุบ
ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
(2) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
ครูนำอภิปรายว่า ขวดบุบเนื่องจากอุณหภูมิภายในขวดลดลง ไอน้ำในขวดควบแน่นเป็นหยดน้ำ
ทำให้ความดันในขวดลดลง ความดันภายนอกสูงกว่าจึงดันขวดให้บุบลง และเมื่อเปิดฝาขวด
อากาศภายนอกจะเคลื่อนที่เข้าไปในขวดและดันให้ขวดพองตัวได้ดังเดิม
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
(1)
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับความกดอากาศในหนังสือเรียน
(2)
นักเรียนแบ่งกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม สังเกตความกดอากาศ แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้
ดังนี้
1.
นำสายพลาสติกใสที่เตรียมมาจุ่มลงในน้ำให้น้ำเข้าไปอยู่ประมาณครึ่งสาย
2. จับปลายทั้งสองขึ้น งอเป็นรูปตัวยู โดยให้ปลายทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน
สังเกตระดับน้ำทั้งสองข้าง ดังรูป (ก)
3. ยกปลายด้านขวามือให้สูงกว่าปลายด้านซ้ายมือ แล้วเปลี่ยนให้ปลายด้านซ้ายมือสูงกว่าปลายด้านขวามือบ้าง
สังเกตและเปรียบเทียบระดับน้ำในสายพลาสติกใสแต่ละครั้งว่ามีลักษณะใด แล้วบันทึกผล
4. เป่าลมเข้าทางปลายด้านใดด้านหนึ่งโดยเริ่มเป่าเบา ๆ ก่อน
แล้วค่อย ๆ เพิ่มแรงเป่าให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ดังรูป (ข) ระวังอย่าให้น้ำล้นออกจากสายพลาสติกใส สังเกตระดับน้ำที่ปลายทั้ง
สองข้าง
แล้วบันทึกผล
3)
ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
(1)
นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม เช่น
เพราะเหตุใดจึงต้องงอสายพลาสติกใสให้โค้งพอประมาณก่อนทำการเป่าลมเข้าไปในสายพลาสติกใส
การที่นักเรียนเป่าลมเข้าทางปลายด้านหนึ่งของสายพลาสติกใสเป็นการทำให้ความดันอากาศข้างนั้นเปลี่ยนแปลงในลักษณะใด
เมื่อความดันของอากาศ 2
ด้านของสายพลาสติกใสไม่เท่ากัน ระดับน้ำอยู่ในระดับเดียวกันหรือไม่
(3)
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยให้ได้ข้อสรุปว่า
ระดับน้ำที่ปลายสายพลาสติกใส 2 ด้านจะเท่ากันเมื่อความดันของอากาศที่ปลายทั้ง 2
ด้านเท่ากัน และระดับน้ำที่ปลายสายพลาสติกใสทั้งสองด้านไม่เท่ากันเมื่อความดันของอากาศที่ปลายทั้ง
2 ด้านไม่เท่ากัน
(4)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิของอากาศ ความชื้น
และความกดอากาศ และการวัดความกดอากาศ
4) ขั้นขยายความรู้
(1)
ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่สร้างขึ้นโดยอาศัยหลักการของความดันอากาศ
เช่น หลอดกาแฟ กาลักน้ำ เป็นต้น ทำเป็นรายงานส่งครู
(2)
นักเรียนฝึกใช้เครื่องมือวัดความดันอากาศ และวัดความดันอากาศในบริเวณต่าง ๆ
เป็นเวลา 1 สัปดาห์ แล้วบันทึกผลลงในสมุด
5) ขั้นประเมิน
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า
จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม
มีจุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย
ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2)
นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด
และได้มีการแก้ไขอย่างบ้าง
(3) นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม
และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4)
ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น
ความดัน 1 บรรยากาศคืออะไร
เมื่อระดับความสูงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ความดันอากาศจะเป็นอย่างไร
ความสัมพันธ์ระหว่างความสูงจากระดับน้ำทะเลกับความดันอากาศคืออะไร
ทำไมเมื่อเดินขึ้นภูเขาสูง ๆ
จึงรู้สึกหูอื้อ และจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร
ขั้นสรุป
1)
นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับความดันอากาศ
โดยอาจเขียนสรุปเป็นผังมโนทัศน์เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
2) ครูดำเนินการทดสอบหลังเรียน
โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อวัดความก้าวหน้า/ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ตอนที่ 2 ของนักเรียน
กิจกรรมเสนอแนะ
1.
นักเรียนสืบค้นข้อมูลประวัติการสร้างเครื่องมือวัดความกดอากาศ
จัดทำเป็นรายงานส่งครู
2. ให้นักเรียนติดตามข่าวสารรายงานสภาพอากาศในแต่ละวันของแต่ละภาคในประเทศไทยว่ามีความกดอากาศสูงหรือต่ำ
แล้วนำข้อมูลที่ได้มาจัดป้ายนิเทศหน้าชั้นเรียน
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. ขวดพลาสติกใส
2. ใบงานที่ 5
สังเกตความกดอากาศ
3.
หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
การวัดและการประเมินผล
สิ่งที่ต้องการวัด
|
วิธีการวัด
|
เครื่องมือวัด
|
เกณฑ์การประเมินผล
|
1. ด้านความรู้ความเข้าใจ
|
-
ซักถามความรู้เรื่องความกดอากาศ
-
ให้นักเรียนบันทึกสิ่งที่เรียนรู้
-
ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม
-
ประเมินกิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน
- ทดสอบหลังเรียน
|
- สมุดบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
2. ด้านทักษะกระบวน
การ
|
-
ให้นักเรียนศึกษาหาความรู้จากใบความรู้โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์
- ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
- สังเกตการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
|
-
ใบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
3. ด้านเจตคติทางวิทยา
ศาสตร์
|
- สังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน
|
-
แบบประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ
2
|
บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ปัญหาและอุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนวทางการแก้ไขเพื่อจะนำไปใช้ในครั้งต่อไป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………ผู้สอน
(นางสาวสลาลี
โรจน์สุวรรณ)
ข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………..……………….อาจารย์พี่เลี้ยง
(นางพรทิพย์ เชยบัวแก้ว)
ใบงานที่ 5
สังเกตความกดอากาศ
ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………
อุปกรณ์
1.
สายพลาสติกใสขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6 ซม. 1 เส้น
2.
ถังน้ำพลาสติกใส่น้ำประมาณ ถัง 1
ถัง
ขั้นตอนการสังเกต
1.
นำสายพลาสติกใสที่เตรียมมาจุ่มลงในน้ำให้น้ำเข้าไปอยู่ประมาณครึ่งสาย
2.
จับปลายทั้งสองขึ้น งอเป็นรูปตัวยู โดยให้ปลายทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกัน สังเกตระดับ
น้ำทั้งสองข้าง
ดังรูป
(ก)
3.
ยกปลายด้านขวามือให้สูงกว่าปลายด้านซ้ายมือ แล้วเปลี่ยนให้ปลายด้านซ้ายมือสูงกว่าปลาย
ด้านขวามือบ้าง
สังเกตและเปรียบเทียบระดับน้ำในสายพลาสติกใสแต่ละครั้งว่ามีลักษณะใด แล้วบันทึกผล
4. เป่าลมเข้าทางปลายด้านใดด้านหนึ่งโดยเริ่มเป่าเบา
ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มแรงเป่าให้
มากขึ้นเรื่อย
ๆ ดังรูป
(ข) ระวังอย่าให้น้ำล้นออกจากสายพลาสติกใส สังเกตระดับน้ำที่ปลายทั้ง
สองข้าง แล้วบันทึกผล
บันทึกผลการสังเกต
รายการ
|
ผลที่เกิดขึ้น
|
1. ระดับน้ำในสายพลาสติกใส
– ปลายทั้งสองข้างอยู่ระดับเดียวกัน
– ปลายทั้งสองข้างไม่อยู่ระดับเดียวกัน
2. เมื่อเป่าลมเข้าทางปลายสายพลาสติกด้านใดด้านหนึ่ง
|
|
สรุปผล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามท้ายการทดลอง
1. การบรรจุน้ำเข้าไปในสายพลาสติกใส
จะต้องทำอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. เพราะเหตุใดจึงใช้สายพลาสติกใสที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ใหญ่มากเกินไป
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขณะที่บรรจุน้ำเข้าไปในสายพลาสติกใส
เพราะเหตุใดนักเรียนจึงต้องระวังไม่ให้ฟองอากาศค้างอยู่ในสายพลาสติกใส
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. เพราะเหตุใดจึงต้องงอสายพลาสติกใสให้โค้งพอประมาณก่อนทำการเป่าลมเข้าไปในสายพลาสติกใส
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. ขณะทำกิจกรรมนักเรียนคิดว่า
ถ้าต้องการให้กิจกรรมนี้มีคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด การสังเกตระดับน้ำในสายพลาสติกใสควรปฏิบัติอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. การที่นักเรียนเป่าลมข้างหนึ่งของสายพลาสติกใสเป็นการทำให้ความดันอากาศข้างนั้นเปลี่ยนไปในลักษณะใด
………………………………………………………………………………………………………………
7. เมื่อความดันของอากาศ
2 ข้างของสายพลาสติกใสไม่เท่ากัน ระดับน้ำอยู่ที่ระดับเดียวกันหรือไม่
………………………………………………………………………………………………………………
8. นักเรียนได้ประโยชน์อะไรจากการปฏิบัติกิจกรรมนี้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจัดการเรียนรู้ที่
6
วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 2 รหัสวิชา ว 21102
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2555หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง บรรยากาศ
เรื่อง เมฆ หมอก เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
เรื่อง เมฆ หมอก เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน
ว 6. 1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก
ความสัมพันธ์ของ
กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา
รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน
สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ
เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม
และสิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ตัวชี้วัด
ว 6.1 ม. 1/3 สังเกต วิเคราะห์
และอภิปรายการเกิดปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศที่มีผลต่อมนุษย์
ว 8.1 ม.1-3/1 - ม.1-3/9
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายกระบวนการเกิดเมฆและหมอกได้ (K)
2.
มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3.
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
4.
พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (A)
5.
ระบุและแยกประเภทของเมฆบนท้องฟ้าได้ (P)
6. สื่อสารและนำความรู้เรื่องเมฆและหมอกไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
(P)
สาระสำคัญ
เมฆ หมอก
เป็นปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศอย่างหนึ่ง เมฆ
เกิดจากการกลั่นตัวของไอน้ำในอากาศในระดับสูงจากพื้นโลก และรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ
เมฆในท้องฟ้าแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่ เมฆชั้นสูง เมฆชั้นกลาง เมฆชั้นต่ำ
และเมฆที่ก่อตัวในแนวตั้ง
หมอก
เกิดจากอากาศชื้นเย็นตัวและลอยต่ำใกล้ผิวโลก
สาระการเรียนรู้
ลมฟ้าอากาศ
- เมฆและหมอก
กระบวนการจัดการเรียนรู้
ครูดำเนินการทดสอบก่อนเรียน
โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อมและพื้นฐานของนักเรียน
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
(1) ครูนำสนทนาพูดคุยกับนักเรียนเกี่ยวกับสภาพอากาศในช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
และสภาพอากาศที่แตกต่างกัน เช่น ร้อน หนาว ฝนตก เกิดพายุ
มีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนเราและสิ่งแวดล้อมอย่างไร
เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่องลมฟ้าอากาศ
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจากแนวคำตอบของนักเรียน
จากนั้นครูนำอภิปรายว่าปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศมีหลายอย่าง เช่น เมฆ หมอก ฝน พายุ
เป็นต้น ในชั่วโมงนี้เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเกิดเมฆและหมอก
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ
(1)
ครูให้นักเรียนมองออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียน และมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
แล้วพูดคุยซักถามนักเรียน เช่น
เห็นอะไรบนท้องฟ้าบ้าง
ในแต่ละวันจะมีปริมาณเมฆแตกต่างกันหรือไม่
เมฆที่ปรากฏบนท้องฟ้าในแต่ละวันมีลักษณะ
รูปร่าง เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
(2) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
(1)
ให้นักเรียนศึกษาความหมายของลมฟ้าอากาศ
และปัจจัยที่ก่อให้เกิดลมฟ้าอากาศในหนังสือเรียน จากนั้นให้นักเรียนดูภาพหรือซีดีรอมเกี่ยวกับเมฆและชนิดของเมฆ
(2) เมื่อรู้จักชนิดของเมฆแล้ว
ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับรูปร่าง ลักษณะของเมฆ
ระดับความสูง และผลของการเกิดเมฆแต่ละชนิด ดังนี้
เมฆชั้นสูง
เมฆชั้นกลาง
เมฆชั้นต่ำ
เมฆที่ก่อตัวในแนวตั้ง
สมาชิกในกลุ่มแบ่งหัวข้อกันสืบค้นข้อมูล
คนละ 1 หัวข้อ เมื่อได้ข้อมูลและศึกษาจนเป็นที่เข้าใจแล้ว
นำมาถ่ายทอดให้สมาชิกในกลุ่มฟัง
3)
ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
(1)
นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายผลของการปฏิบัติกิจกรรม
แล้วส่งตัวแทนออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม เช่น
การเกิดเมฆต้องอาศัยองค์ประกอบอะไรบ้าง
เมฆแต่ละประเภทมีชื่อเรียกอะไรบ้าง
เมฆที่มีลักษณะอย่างไรทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง
ใช้เกณฑ์อะไรในการแบ่งชนิดของเมฆ
เมื่อทราบชนิดและลักษณะของเมฆแล้ว นักเรียนสามารถนำความรู้เรื่องนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติกิจกรรม
จากนั้นให้นักเรียนศึกษาเรื่องหมอกและช่วยกันวิเคราะห์ว่าเมฆและหมอกแตกต่างกันในเรื่องใด
4) ขั้นขยายความรู้
ให้นักเรียนสังเกตชนิดและปริมาณเมฆบนท้องฟ้าใน 1 วัน พร้อมทั้งวาดภาพประกอบ
และบันทึกลักษณะของท้องฟ้า สภาพอากาศเมื่อมีเมฆชนิดนั้นเกิดขึ้น
(5) ขั้นประเมิน
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า
จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม
มีจุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2)
นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด
และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3)
นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม
และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม
เช่น
ลมฟ้าอากาศหมายถึงอะไร
การที่จะเกิดลมฟ้าอากาศได้ต้องอาศัยปัจจัยใดบ้าง
นักอุตุนิยมวิทยาแบ่งเมฆในท้องฟ้าออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
หมอกเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทะเลหมอกมักจะปรากฏอยู่บนยอดเขาสูง เพราะอะไร
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับเมฆและหมอก
โดยร่วมกันสรุปเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
กิจกรรมเสนอแนะ
1.
ถ้านักเรียนไปเที่ยวต่างจังหวัดในฤดูหนาวหรือไปเที่ยวภูเขา
ให้สังเกตการเกิดหมอกในตอนเช้าและถ่ายภาพหมอกมาให้เพื่อน ๆ ดู
2. ให้นักเรียนทำโครงงานสร้างแบบจำลองเมฆ
โดยมีขั้นตอนดังนี้
สังเกตเมฆบนท้องฟ้าเป็นเวลา 5
วันติดต่อกัน บันทึกผลการสังเกต
นำข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมาสร้างแบบจำลองเมฆ โดยใช้สำลีทำเป็นก้อนเมฆรูปต่าง ๆ
และใช้กาวติดลงในกระดาษโปสเตอร์แข็งให้มีเมฆครบทุกชนิด และจัดวางในตำแหน่งเมฆชั้นสูง
เมฆชั้นกลาง เมฆชั้นต่ำ และเมฆที่ก่อตัวในแนวตั้งให้ถูกต้อง
เขียนชื่อเมฆแต่ละชนิดถัดจากแบบจำลองเมฆ
และบอกสภาพอากาศที่เกิดขึ้นเมื่อมีเมฆชนิดนั้นในท้องฟ้า
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1.
ภาพหรือซีดีรอมเกี่ยวกับเมฆและชนิดของเมฆ
2. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เล่ม 2
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
การวัดและการประเมินผล
สิ่งที่ต้องการวัด
|
วิธีการวัด
|
เครื่องมือวัด
|
เกณฑ์การประเมินผล
|
1. ด้านความรู้ความเข้าใจ
|
-
ซักถามความรู้เรื่องการเกิดเมฆและหมอก
-
ให้นักเรียนบันทึกสิ่งที่เรียนรู้
- ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม
-
ประเมินกิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน
- ทดสอบหลังเรียน
|
- สมุดบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
2. ด้านทักษะกระบวนการ
|
-
ให้นักเรียนศึกษาหาความรู้จากใบความรู้โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์
- ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
- สังเกตการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
|
-
ใบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
3. ด้านเจตคติทางวิทยา
ศาสตร์
|
- สังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน
|
-
แบบประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ
2
|
บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ปัญหาและอุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนวทางการแก้ไขเพื่อจะนำไปใช้ในครั้งต่อไป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………ผู้สอน
(นางสาวสลาลี
โรจน์สุวรรณ)
ข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………..……………….อาจารย์พี่เลี้ยง
(นางพรทิพย์ เชยบัวแก้ว)
แผนการจัดการเรียนรู้ที่
7
วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 2 รหัสวิชา ว 21102
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2555หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง บรรยากาศ
เรื่อง ฝน ลูกเห็บ และหิมะ เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
เรื่อง ฝน ลูกเห็บ และหิมะ เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน
ว 6. 1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของ
กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา
รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน
สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ
เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ตัวชี้วัด
ว 6.1 ม. 1/3 สังเกต
วิเคราะห์ และอภิปรายการเกิดปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศที่มีผลต่อมนุษย์
ว 8.1 ม.1-3/1 - ม.1-3/9
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายการเกิดฝน ลูกเห็บ และหิมะได้
(K)
2.
ประดิษฐ์เครื่องมือวัดปริมาณน้ำฝนอย่างง่ายและทดสอบวัดปริมาณน้ำฝนได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น
(A)
4.
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5. สื่อสารและนำความรู้เรื่องการเกิดฝน
ลูกเห็บ และหิมะไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P)
สาระสำคัญ
ฝน
เกิดจากละอองไอน้ำขนาดต่าง ๆ กันในก้อนเมฆมารวมกัน และเกิดการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ
หยดน้ำที่มีขนาดใหญ่ไม่สามารถลอยตัวอยู่ในก้อนเมฆได้จึงตกลงมาเป็นฝน
ปริมาณน้ำฝนสามารถวัดได้โดยใช้เครื่องมือวัดน้ำฝน ได้แก่
เครื่องวัดน้ำฝนแบบธรรมดาหรือแบบแก้วตวง และเครื่องวัดน้ำฝนแบบบันทึก
ลูกเห็บ
เป็นก้อนน้ำแข็งที่เกิดจากกระแสลมแรงที่เกิดในเมฆคิวมูโลนิมบัส
หิมะ
เป็นหยดน้ำที่แข็งตัวบนผลึกน้ำแข็ง
ตกผ่านอากาศที่เย็นจัดลงมาจึงไม่ละลายกลายเป็นเกล็ดหิมะ
สาระการเรียนรู้
ลมฟ้าอากาศ
- ฝน ลูกเห็บ และหิมะ
กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
1)
ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับการเกิดเมฆ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่องฝน
โดยใช้แนวคำถาม เช่น
เมฆชนิดใดที่เป็นเมฆฝน
การเกิดเมฆเกี่ยวข้องกับการเกิดฝนอย่างไร
ฝนมีประโยชน์ต่อคน พืช
และสัตว์อย่างไร
2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจากแนวคำตอบของนักเรียน
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ
(1) ครูสนทนาซักถามนักเรียนเกี่ยวกับฝน
เช่น
ท้องถิ่นของนักเรียนมีประเพณีเกี่ยวกับการขอฝนหรือไม่
ถ้ามีให้ตัวแทนนักเรียนออกมาเล่าประเพณีการขอฝนหน้าชั้นเรียน
การประกอบอาชีพของคนในท้องถิ่นเกี่ยวข้องกับฝนหรือไม่
อย่างไร
ในท้องถิ่นเคยประสบปัญหาฝนแล้งหรือน้ำท่วมหรือไม่ อย่างไร
ฝนมีกระบวนการเกิดอย่างไร
(2) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
(1)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายการเกิดฝน ลูกเห็บ และหิมะ โดยให้นักเรียนดูแผนภาพ
หรือซีดีรอมประกอบ
(2)
นักเรียนแบ่งกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม สังเกตการวัดปริมาณน้ำฝนอย่างง่าย
แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ดังนี้
1. นำภาชนะที่เตรียมไว้ เช่น
ขวดน้ำดื่ม ขวดปากกว้าง และกระป๋องรูปทรงและขนาดต่าง ๆ กัน ที่ทำด้วยพลาสติกใสมาตั้งไว้ในบริเวณสนามหญ้า
(เขียนหมายเลขติดข้างขวด)
2.
จากนั้นใช้สายยางต่อเข้ากับท่อน้ำประปา เปิดน้ำ
แล้วฉีดให้เป็นฝอยเหนือภาชนะที่ตั้งไว้ สังเกตปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นในภาชนะ
จนกระทั่งระดับน้ำพอที่จะวัดได้
3.
วัดปริมาณน้ำโดยเทน้ำจากขวดพลาสติกใส่ลงในกระบอกตวง
อ่านค่าที่ได้จากมาตราส่วนบนกระบอกตวง บันทึกผล
แล้ววัดปริมาณน้ำในขวดใบต่อไปจนครบทุกขวด
4.
เปรียบเทียบปริมาณน้ำฝนในแต่ละภาชนะ *
หน่วยที่ใช้ในการวัดปริมาณน้ำฝน คือ มิลลิเมตร
3)
ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
(1)
นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม เช่น
เพราะเหตุใดจึงต้องใช้ภาชนะที่มีรูปร่างและขนาดที่แตกต่างกัน
ความสูงของน้ำในภาชนะแตกต่างกันหรือไม่
ความกว้างของปากขวดและความสูงของภาชนะมีผลต่อการรองรับน้ำฝนหรือไม่ เพราะอะไร
ผลสรุปของการทดลองนี้คืออะไร
(3)
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นครูให้นักเรียนศึกษาเครื่องมือวัดน้ำฝนแบบต่าง
ๆ ได้แก่ เครื่องวัดน้ำฝนแบบธรรมดาหรือแบบแก้วตวง และแบบวัดน้ำฝนแบบบันทึก
(4)
ให้นักเรียนร่วมกันสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดลูกเห็บและหิมะ
แล้วนำมาอภิปรายร่วมกันในชั้นเรียน
4) ขั้นขยายความรู้
(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า
น้ำหรือน้ำแข็งที่ตกลงมายังพื้นโลกในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ฝน ลูกเห็บ หิมะ เรียกว่า
หยาดน้ำฟ้า หยาดน้ำฟ้าที่ตกในประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของฝน
(2) ให้นักเรียนทำรายงานเกี่ยวกับปริมาณเฉลี่ยของฝนที่ตกในประเทศไทย
(3)
นักเรียนค้นคว้าคำศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับฝน ลูกเห็บ หิมะ
จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต แล้วบันทึกลงในสมุด
5) ขั้นประเมิน
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า
จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม
มีจุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย
ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2)
นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด
และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3)
นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม
และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4)
ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น
ฝนมีกระบวนการเกิดอย่างไร
ลูกเห็บก่อตัวในเมฆชนิดใด
และมีกระบวนการเกิดอย่างไร
หยาดน้ำฟ้าคืออะไร
ทำไมในประเทศไทยจึงไม่มีหิมะตก
ขั้นสรุป
-
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับเมฆและหมอก
โดยร่วมกันสรุปเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
กิจกรรมเสนอแนะ
1.
นักเรียนจัดป้ายนิเทศเกี่ยวกับวัฏจักรของน้ำ การเกิดฝน ลูกเห็บ และหิมะ
2.
สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเกล็ดหิมะที่มีหลายแบบ และประเทศที่มีหิมะตกในฤดูหนาว
รวมทั้งศึกษาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของผู้คนและสิ่งแวดล้อมในบริเวณที่มีหิมะตก
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1.
ภาพหรือซีดีรอมเกี่ยวกับการเกิดฝน ลูกเห็บ และหิมะ
2. ใบงานที่ 6
สังเกตการวัดปริมาณน้ำฝนอย่างง่าย
3. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน
วิทยาศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
การวัดและการประเมินผล
สิ่งที่ต้องการวัด
|
วิธีการวัด
|
เครื่องมือวัด
|
เกณฑ์การประเมินผล
|
1. ด้านความรู้ความเข้าใจ
|
-
ซักถามความรู้เรื่องการเกิดฝน ลูกเห็บ และหิมะ
-
ให้นักเรียนบันทึกสิ่งที่เรียนรู้
-
ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม
-
ประเมินกิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน
- ทดสอบหลังเรียน
|
- สมุดบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
2. ด้านทักษะกระบวน
การ
|
-
ให้นักเรียนศึกษาหาความรู้จากใบความรู้โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์
- ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
- สังเกตการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
|
-
ใบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
3. ด้านเจตคติทางวิทยา
ศาสตร์
|
- สังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน
|
-
แบบประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ
2
|
บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ปัญหาและอุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนวทางการแก้ไขเพื่อจะนำไปใช้ในครั้งต่อไป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………ผู้สอน
(นางสาวสลาลี
โรจน์สุวรรณ)
ข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………..……………….อาจารย์พี่เลี้ยง
(นางพรทิพย์ เชยบัวแก้ว)
ใบงานที่ 6
ทดลองวัดปริมาณน้ำฝนอย่างง่าย
ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………..
กำหนดสมมุติฐาน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
อุปกรณ์
1.
ขวดพลาสติกใสที่มีรูปทรงและขนาดต่างกันอย่างละ
1
ใบ
2.
กระบอกตวง 1 อัน
ทดสอบสมมุติฐาน
1.
นำภาชนะที่เตรียมไว้ เช่น ขวดน้ำดื่ม ขวดปากกว้าง และกระป๋องรูปทรงและขนาดต่าง ๆ
กันที่ทำด้วยพลาสติกใสมาตั้งไว้ในบริเวณสนามหญ้า (เขียนหมายเลขติดข้างขวด)
2.
จากนั้นใช้สายยางต่อเข้ากับท่อน้ำประปา เปิดน้ำ
แล้วฉีดน้ำให้เป็นฝอยเหนือภาชนะที่ตั้งไว้ สังเกตปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นในภาชนะ
จนกระทั่งระดับน้ำพอที่จะวัดได้
3.
วัดปริมาณน้ำโดยเทน้ำในขวดพลาสติกใส่ลงในกระบอกตวง อ่านค่าที่ได้จากมาตราส่วนบนกระบอกตวง
บันทึกผล แล้ววัดปริมาณน้ำในขวดใบต่อไปจนครบทุกขวด
4.
เปรียบเทียบปริมาณน้ำฝนในแต่ละภาชนะ
หมายเหตุ ปริมาณน้ำที่วัดได้เป็นเพียงค่าประมาณเท่านั้น
เพราะกระบอกตวงที่ใช้ไม่ได้ผ่านการปรับเทียบอย่างถูกต้อง
บันทึกผลการสังเกต
ขวดใบที่
|
ปริมาณน้ำฝนที่วัดได้ (มิลลิเมตร)
|
1
2
3
|
|
สรุปผล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามก่อนการทดลอง
1.
เพราะเหตุใดจึงต้องใช้ภาชนะที่มีรูปร่างและขนาดที่แตกต่างกัน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2.
เพราะเหตุใดจึงต้องใช้ภาชนะที่มีลักษณะใส
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามหลังการทดลอง
3.
ความสูงของน้ำในแต่ละภาชนะแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4.
ความกว้างของปากภาชนะและความสูงของภาชนะมีผลต่อการรองรับน้ำฝนหรือไม่
เพราะอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจัดการเรียนรู้ที่
8
วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 2 รหัสวิชา ว 21102
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2555หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง บรรยากาศ
เรื่อง การเกิดลม เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
เรื่อง การเกิดลม เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน
ว 6. 1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของ
กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา
รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน
สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ
เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม
และสิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ตัวชี้วัด
ว 6.1 ม. 1/3 สังเกต
วิเคราะห์ และอภิปรายการเกิดปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศที่มีผลต่อมนุษย์
ว 8.1 ม.1-3/1 - ม.1-3/9
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
อธิบายสาเหตุที่ทำให้อุณหภูมิของอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำแตกต่างกันได้ (K)
2.
อธิบายการเกิดลมได้ (K)
3.
มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4.
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
5.
สื่อสารและนำความรู้เรื่องการเกิดลมไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P)
สาระสำคัญ
ลม คือ
การเคลื่อนที่ของอากาศ เกิดจากความแตกต่างของความกดอากาศ
โดยลมจะพัดจากบริเวณที่มีความกดอากาศสูงเข้าสู่บริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ
สาระการเรียนรู้
ลมฟ้าอากาศ
- กระบวนการเกิดลม
กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
1)
ครูนำสนทนาซักถามกับนักเรียนว่า เคยเดินเล่นในสวนสาธารณะแล้วสังเกตเห็นใบไม้ไหว
หรือรู้สึกเย็นที่ผิวกายหรือไม่ นักเรียนคิดว่าเกิดจากอะไร
2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจากแนวคำตอบของนักเรียน
ครูเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่องการเกิดลม
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ
(1) ครูตั้งประเด็นคำถาม
เช่น
ส่วนต่าง ๆ
ของโลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์เท่ากันหรือไม่ เพราะอะไร
เมื่อได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์
บริเวณพื้นดินหรือพื้นน้ำจะมีอุณหภูมิสูงเท่ากันหรือไม่ อย่างไร
ความแตกต่างของอุณหภูมิเหนือพื้นดินและพื้นน้ำทำให้เกิดสิ่งใด
(2) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม ครูแนะนำให้นักเรียนหาคำตอบจากการปฏิบัติกิจกรรมต่อไปนี้
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
(1)
นักเรียนแบ่งกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม สังเกตความแตกต่างของอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำ
แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ดังนี้
1.
นำกระป๋องนมที่บรรจุดินและน้ำปริมาณเท่า ๆ กัน พร้อมกับเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้แก่
เทอร์มอมิเตอร์ ขาตั้ง และที่จับมาติดตั้งดังรูปในหนังสือเรียน
2.
นำเทอร์มอมิเตอร์เสียบลงไปในกระป๋องดินและน้ำ กระป๋องละ 1 อัน
บันทึกอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง 2 อัน ลงในตารางบันทึกผล
3. นำกระป๋องดินและน้ำที่มีเทอร์มอมิเตอร์เสียบอยู่ไปตั้งไว้กลางแดด
จากนั้นใช้นาฬิกาจับเวลาที่ดินและน้ำมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ 1 องศาเซลเซียส จนครบ
5 องศาเซลเซียส
บันทึกผลที่ได้
4.
นำกระป๋องดินและน้ำเข้ามาในที่ร่ม แล้วจับเวลาที่ดินและน้ำมีอุณหภูมิลดลงทุก ๆ 1 องศาเซลเซียส
จนกระทั่งมีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิเริ่มต้น บันทึกผล
(2)
นักเรียนกลุ่มเดิมปฏิบัติกิจกรรม สังเกตลมเกิดขึ้นได้อย่างไร
แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ดังนี้
1.
จัดตั้งอุปกรณ์ชุดการเกิดลมดังรูปในหนังสือเรียน
2.
วัดอุณหภูมิที่ส่วนบนและส่วนล่างของกระป๋อง พร้อมทั้งสังเกตการเปลี่ยนแปลงของใบพัด
3.
นำตะเกียงแอลกอฮอล์ที่จุดแล้วไปวางใต้ตะแกรงลวด โดยจัดให้อยู่ตรงกลางกระป๋องชุดการเกิดลม ทำการวัดอุณหภูมิส่วนบนและส่วนล่างของกระป๋องอีกครั้งหนึ่ง
และระวังอย่าให้กระเปาะของเทอร์มอมิเตอร์สัมผัสถูกเปลวไฟ
พร้อมทั้งสังเกตการเปลี่ยนแปลงของใบพัด
3)
ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
(1)
นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรมโดยใช้แนวคำถาม เช่น
กิจกรรม
สังเกตความแตกต่างของอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำ
-
อุณหภูมิเริ่มต้นของดินและน้ำเท่ากันหรือไม่
- การเพิ่มอุณหภูมิของดินและน้ำ
สิ่งใดเพิ่มอุณหภูมิเร็วกว่ากัน
- การลดอุณหภูมิของดินและน้ำ
สิ่งใดลดอุณหภูมิเร็วกว่ากัน
- ผลสรุปของการทดลองนี้คืออะไร
กิจกรรม สังเกตลมเกิดขึ้นได้อย่างไร
- เมื่อจุดไฟตะเกียงแอลกอฮอล์มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น
-
การเคลื่อนที่ของอากาศในกระป๋องเกิดขึ้นในทิศทางใด
-
อุณหภูมิของอากาศที่ชุดการเกิดลมมีลักษณะอย่างไร
- ผลสรุปของการทดลองนี้คืออะไร
(3)
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยกิจกรรม สังเกตความแตกต่างของอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำ
ได้ข้อสรุปว่า ดินและน้ำใช้เวลาไม่เท่ากันในการทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น
โดยน้ำจะใช้เวลามากกว่า ส่วนการทำให้อุณหภูมิลดลงน้ำก็ใช้เวลามากกว่าเช่นเดียวกัน
จากกิจกรรมนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับโลกของเรา ในตอนกลางวันพื้นดินจะมีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นน้ำ
อุณหภูมิของอากาศเหนือพื้นดินจึงสูงกว่าอุณหภูมิของอากาศเหนือพื้นน้ำ
ส่วนในตอนกลางคืน พื้นน้ำจะคายความร้อนอย่างช้า ๆ
ทำให้อากาศเหนือพื้นน้ำมีอุณหภูมิสูงกว่าอากาศเหนือพื้นดิน
จากความแตกต่างของอุณหภูมิของอากาศเหนือบริเวณพื้นดินและพื้นน้ำนี่เองเป็นสาเหตุของการเกิดลม
กิจกรรม สังเกตลมเกิดขึ้นได้อย่างไร
ให้ได้ข้อสรุปว่า ความแตกต่างของความกดอากาศในสองบริเวณทำให้เกิดลม
โดยลมจะพัดจากบริเวณที่มีความกดอากาศสูงไปยังบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำ
4) ขั้นขยายความรู้
(1)
ครูอธิบายให้นักเรียนเข้าใจความหมาย และลักษณะของความกดอากาศสูงและความกดอากาศต่ำ
โดยใช้แผนภาพประกอบ
(2)
ให้นักเรียนทำรายงานเกี่ยวกับการเกิดลมบก ลมบก และประโยชน์ของลมบก ลมทะเล
(3)
นักเรียนค้นคว้าคำศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับลม
จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต แล้วบันทึกลงในสมุด
5) ขั้นประเมิน
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า
จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม
มีจุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย
ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2)
นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3)
นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม
และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4)
ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น
ลมเกิดขึ้นได้อย่างไร
ลมมีทิศทางการพัดในลักษณะใด
ความกดอากาศสูงและความกดอากาศต่ำหมายถึงอะไร
ลมมีประโยชน์อะไรบ้าง
ขั้นสรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับเมฆและหมอก
โดยร่วมกันเขียนสรุปเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโนทัศน์
กิจกรรมเสนอแนะ
นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานจากลม
แล้วนำมาจัดป้ายนิเทศ
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบงานที่ 7
สังเกตความแตกต่างของอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำ
2. ใบงานที่ 8
สังเกตลมเกิดขึ้นได้อย่างไร
3.
หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
การวัดและการประเมินผล
สิ่งที่ต้องการวัด
|
วิธีการวัด
|
เครื่องมือวัด
|
เกณฑ์การประเมินผล
|
1. ด้านความรู้ความเข้าใจ
|
-
ซักถามความรู้เรื่องการเกิดลม
-
ให้นักเรียนบันทึกสิ่งที่เรียนรู้
-
ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม
-
ประเมินกิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน
- ทดสอบหลังเรียน
|
- สมุดบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
2. ด้านทักษะกระบวน
การ
|
-
ให้นักเรียนศึกษาหาความรู้จากใบความรู้โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์
- ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
- สังเกตการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
|
-
ใบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
3. ด้านเจตคติทางวิทยา
ศาสตร์
|
- สังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน
|
-
แบบประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ
2
|
บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ปัญหาและอุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนวทางการแก้ไขเพื่อจะนำไปใช้ในครั้งต่อไป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………ผู้สอน
(นางสาวสลาลี
โรจน์สุวรรณ)
ข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………..……………….อาจารย์พี่เลี้ยง
(นางพรทิพย์ เชยบัวแก้ว)
ใบงานที่ 7
สังเกตความแตกต่างของอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำ
ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………
อุปกรณ์
1.
กระป๋องนมขนาดเดียวกัน บรรจุดินและน้ำปริมาณเท่า ๆ กัน ประมาณของกระป๋อง 2 ใบ
2.
เทอร์มอมิเตอร์ 2
อัน
3.
ขาตั้ง 1 อัน
4.
ที่จับ 2 อัน
5.
นาฬิกา 1
เรือน
ขั้นตอนการสังเกต
1. นำกระป๋องนมที่บรรจุดินและน้ำปริมาณเท่า ๆ กัน ที่เตรียมไว้พร้อมกับอุปกรณ์ต่าง
ๆ ได้แก่ เทอร์มอมิเตอร์ ขาตั้งและที่จับมาติดตั้ง ดังรูป
แสดงการติดตั้งอุปกรณ์ทดสอบความแตกต่างของอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำ
2.
เมื่อนำเทอร์มอมิเตอร์ทั้งสองอันเสียบไว้ที่กระป๋องทั้งสองแล้ว ให้นักเรียนบันทึกอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ทั้งสองอันลงในแบบบันทึกผลการทดลอง
3.
นำกระป๋องดินและน้ำที่มีเทอร์มอมิเตอร์เสียบอยู่ไปตั้งไว้กลางแดด จากนั้นใช้นาฬิกาจับเวลาที่ดินและน้ำมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปทุก
ๆ 1 องศาเซลเซียส
จนครบ 5 องศาเซลเซียส
บันทึกผลที่ได้
4.
นำกระป๋องดินและน้ำเข้ามาในที่ร่ม แล้วใช้นาฬิกาจับเวลาที่ดินและน้ำมีอุณหภูมิลดลงทุก
ๆ 1 องศาเซลเซียส
จนกระทั่งมีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิที่เริ่มต้นบันทึกในข้อที่ 2
หมายเหตุ
1.
กระป๋องนมควรล้างให้สะอาด และดินที่ใช้ควรเป็นดินร่วนและแห้ง
2.
ก่อนใช้เทอร์มอมิเตอร์ให้สังเกตอุณหภูมิบนเทอร์มอมิเตอร์ทั้ง 2 อันว่าเท่ากันหรือไม่
ถ้าไม่เท่ากันควรบันทึกไว้ด้วยว่าอุณหภูมิเท่าไร
3.
การจัดเทอร์มอมิเตอร์ควรให้กระเปาะเทอร์มอมิเตอร์ลงไปอยู่กลางกระป๋องบรรจุดินและน้ำ
แต่อย่าให้แตะก้นกระป๋อง ใช้ที่จับยึดเทอร์มอมิเตอร์ไว้กับขาตั้งให้แน่น
4.
การอ่านอุณหภูมิต้องให้สายตาอยู่ในแนวระดับเดียวกับปรอท
5.
ถ้าในวันทดลองไม่มีแสงแดด นักเรียนอาจใช้โคมไฟขนาด
100 วัตต์แทน โดยจัดให้ระยะดวงไฟอยู่สูงจากพื้นประมาณ 24 เซนติเมตร และวางกระป๋องทั้งสองให้ห่างจากดวงไฟเป็นระยะเท่า
ๆ กัน
บันทึกผลการสังเกต
|
อุณหภูมิเริ่มต้น
(๐C)
|
เวลาที่ใช้เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป 5 C (นาที)
|
|||||||||
|
วางกลางแดด
|
วางในที่ร่ม
|
|||||||||
|
1 ๐C
|
1 ๐C
|
1 ๐C
|
1 ๐C
|
1 ๐ C
|
1 ๐C
|
1 ๐ C
|
1 ๐ C
|
1 ๐C
|
1 ๐ C
|
|
ดิน
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
น้ำ
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สรุปผล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามท้ายการทดลอง
1.
ถ้าไม่มีกระป๋องนมจะใช้กล่องพลาสติกแทนได้หรือไม่
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2.
ดินที่ใช้ในการสังเกตควรมีลักษณะใด
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.
ขณะที่สังเกตกระเปาะของเทอร์มอมิเตอร์จะอยู่ติดข้างกระป๋องได้หรือไม่
เพราะอะไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4.
กิจกรรมนี้นี้ถ้าแสงแดดอ่อน จะได้ผลหรือไม่
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5.
อุณหภูมิเริ่มต้นของดินและน้ำเท่ากันหรือไม่
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6.
การเพิ่มอุณหภูมิของดินและน้ำ สิ่งใดเพิ่มอุณหภูมิเร็วกว่ากัน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
7.
การลดอุณหภูมิของดินและน้ำ สิ่งใดลดอุณหภูมิเร็วกว่ากัน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบงานที่ 8
สังเกตลมเกิดขึ้นได้อย่างไร
ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………
อุปกรณ์
1.
ชุดการเกิดลม
1 ชุด
2.
ตะแกรงลวด
1 อัน
3.
ตะเกียงแอลกอฮอล์
1
อัน
4.
ที่บังลม
1 อัน
5.
เทอร์มอมิเตอร์ 1 อัน
ขั้นตอนการสังเกต
1.
จัดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เตรียมมา ดังรูป
2.
วัดอุณหภูมิที่ส่วนบนและส่วนล่างของกระป๋อง พร้อมทั้งสังเกตการเปลี่ยนแปลงของใบพัด
3.
นำตะเกียงแอลกอฮอล์ที่จุดแล้วไปวางใต้ตะแกรงลวด โดยจัดให้อยู่ตรงกลางกระป๋องชุดการเกิดลม
ทำการวัดอุณหภูมิส่วนบนและส่วนล่างของกระป๋องอีกครั้งหนึ่ง และระวังอย่าให้กระเปาะของเทอร์มอมิเตอร์สัมผัสถูกเปลวไฟ
พร้อมทั้งสังเกตการเปลี่ยนแปลงของใบพัด
บันทึกผลการสังเกต
รายการ
|
อุณหภูมิของอากาศ (C)
|
การเปลี่ยนแปลงของใบพัด
|
|
ส่วนบนของกระป๋อง
|
ส่วนล่างของกระป๋อง
|
||
ไม่จุดไฟ
|
|
|
|
จุดไฟ
|
|
|
|
สรุปผล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...........................................................................................................................................................................................................................................................................
คำถามท้ายการทดลอง
1.
หน้าที่สำคัญของตะเกียงแอลกอฮอล์ และเทอร์มอมิเตอร์คืออะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2.
ควรให้ความระมัดระวังกับเทอร์มอมิเตอร์อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.
ควรตั้งตะเกียงแอลกอฮอล์ในลักษณะใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4.
เมื่อจุดไฟตะเกียงแอลกอฮอล์มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5.
การเคลื่อนที่ของอากาศในกระป๋องเกิดขึ้นในทิศทางใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6.
อุณหภูมิของอากาศที่ชุดการเกิดลมมีลักษณะอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
7.
ความคลาดเคลื่อนของกิจกรรมนี้อาจเกิดจากอะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจัดการเรียนรู้ที่
9
วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 2 รหัสวิชา ว 21102
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2555หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง บรรยากาศ
เรื่อง การวัดลม เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
เรื่อง การวัดลม เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวสลาลี โรจน์สุวรรณ โรงเรียน ทุ่งสงวิทยา
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน
ว 6. 1 เข้าใจกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกและภายในโลก ความสัมพันธ์ของ
กระบวนการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ และสัณฐานของโลก มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจิตวิทยาศาสตร์
สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา
รู้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบที่แน่นอน
สามารถอธิบายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมูลและเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ
เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม
และสิ่งแวดล้อม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
ตัวชี้วัด
ว 6.1 ม. 1/3 สังเกต
วิเคราะห์ และอภิปรายการเกิดปรากฏการณ์ทางลมฟ้าอากาศที่มีผลต่อมนุษย์
ว 8.1 ม.1-3/1 - ม.1-3/9
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.
ประดิษฐ์และใช้เครื่องมือวัดทิศทางและตรวจสอบความเร็วลมได้ (K)
2.
มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
3.
ทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ (A)
4. สื่อสารและนำความรู้เรื่องการเกิดฝน
ลูกเห็บ และหิมะไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P)
สาระสำคัญ
ลมมีทิศทางและความเร็วในการเคลื่อนที่
เราสามารถวัดทิศทางและความเร็วลมของลมโดยใช้เครื่องมือวัด
เครื่องมือที่ใช้วัดทิศทางลม เรียกว่า ศรลม ส่วนเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบความเร็วลม
เรียกว่า แอนนิมอมิเตอร์
กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
1)
ครูนำกังหันที่ทำมาจากกระดาษเข้ามาในชั้นเรียนให้นักเรียนลองเล่นดู
แล้วถามนักเรียนว่ากังหันกระดาษจะทำงานได้ดีเมื่อมีสิ่งใด
และเวลาเล่นเราควรดูทิศของลมหรือไม่
2)
นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
ขั้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ
(1) ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับการเกิดลม
แล้วถามนักเรียนว่า
-
เราจะสังเกตว่ามีลมพัดได้จากอะไร
-
เราจะสามารถสร้างเครื่องมือในการวัดทิศทางและความเร็วลมได้หรือไม่ อย่างไร
(2) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
ครูแนะนำนักเรียนว่าสามารถเรียนรู้ได้จากกิจกรรมต่อไปนี้
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
(1)
นักเรียนแบ่งกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม ประดิษฐ์เครื่องมือตรวจสอบทิศทางลมอย่างง่าย
แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ดังนี้
1. นำคลิปหนีบกระดาษ 2 อัน มาง้างให้ปลายข้างหนึ่งยืดออก
ดังรูป (ก)
2.
นำคลิปหนีบกระดาษที่ง้างเสร็จแล้วทั้ง 2 อัน ติดเข้ากับแกนไม้ โดยรัดปลายคลิปหนีบกระดาษด้วยเส้นด้าย
แล้วพันด้วยเทปกาวให้แน่น
3.
นำลูกศรที่ตัด ดังรูป (ข)
มาติดเข้ากับคลิปหนีบกระดาษทั้ง 2 อัน พร้อมกับนำแกนไม้สอดเข้าไปในหลอดกาแฟที่ปักอยู่บนก้อนดินน้ำมัน
ดังรูป (ค)
4 นำเครื่องมือที่สร้างขึ้นไปวางไว้ในบริเวณที่มีลมพัด
แล้วสังเกตการเคลื่อนไหวของลูกศร และสังเกตทิศที่ลูกศรชี้ไป
3)
ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
(1)
นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
(2)
ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม เช่น
เมื่อตั้งอุปกรณ์ไว้ในบริเวณที่ลมพัด
ลูกศรจะชี้ไปในทิศทางใด
การนำศรลมไปตั้งในบริเวณที่แตกต่างกัน
มีผลต่อการวัดทิศทางลมหรือไม่
การบอกทิศทางของลมจากศรลมดูได้อย่างไร
(3)
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม จากนั้นให้นักเรียนศึกษาหลักการทำงานของเครื่องมือตรวจสอบทิศทางลมที่เรียกว่า
ศรลม ในหนังสือเรียน
(4)
ให้นักเรียนศึกษาเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบความเร็วลมที่เรียกว่า
เครื่องวัดความเร็วลม หรือแอนนิมอมิเตอร์
แล้วถามนักเรียนว่าเราสามารถสร้างเครื่องมือสำหรับวัดตรวจสอบความเร็วลมได้หรือไม่
ทำอย่างไร
(5) นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม
ครูแนะให้นักเรียนทดลองทำ
4) ขั้นขยายความรู้
(1) นักเรียนแบ่งกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามใบงาน
ประดิษฐ์เครื่องมือตรวจสอบความเร็วลมอย่างง่าย
แต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ ดังนี้
1.
ตัดกระดาษเป็นรูปวงกลมที่มีขนาดเท่ากัน 3 อัน แล้วพับเป็นรูปกรวย ดังรูป (ก)
จากนั้นจึงใช้เทปกาวหรือทากาวติดให้แน่น
-
2.
ง้างคลิปหนีบกระดาษ 3 อัน ให้ปลายข้างหนึ่งยืดออกมา แล้วนำมาผูกติดกับแกนไม้ที่เตรียมไว้ด้วยเส้นด้ายให้แน่น
จากนั้นจัดให้คลิปหนีบกระดาษทำมุมเท่า ๆ กัน ดังรูป (ข) แล้วจึงใช้เทปกาวพันให้แน่น
3.
นำกรวยกระดาษที่เตรียมไว้ มาติดที่ปลายของคลิปหนีบกระดาษทั้ง 3 อัน ด้วยเทปกาวโดยจัดให้ปากกรวยหันไปในทางเดียวกัน
จากนั้นจึงจับแกนไม้สอดเข้าไปในหลอดกาแฟที่ปักยึดติดอยู่กับก้อนดินน้ำมัน ดังรูป (ค)
4.
นำเครื่องมือที่สร้างขึ้นไปวางไว้ในบริเวณที่มีลมพัด แล้วสังเกตการเคลื่อนไหวของกรวย
กระดาษ และความเร็วของการเคลื่อนไหว
(2) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม
โดยใช้แนวคำถาม เช่น
เมื่อตั้งอุปกรณ์ไว้ในบริเวณที่ลมพัด
กรวยกระดาษจะมีลักษณะอย่างไร
การนำกรวยกระดาษไปตั้งในบริเวณที่แตกต่างกัน มีผลต่อการวัดความเร็วลมหรือไม่
การบอกความเร็วลมจากกรวยกระดาษพิจารณาจากอะไร
หลักการของกรวยกระดาษ
นักวิทยาศาสตร์นำไปประดิษฐ์เครื่องมือวัดความเร็วลมมีชื่อว่าอะไร
(3)
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม
5) ขั้นประเมิน
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า
จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย
ถ้ามีครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
(2)
นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด
และได้มีการแก้ไขอย่างไรบ้าง
(3)
นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม
และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4)
ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น
-
เครื่องมือที่ใช้วัดและตรวจสอบทิศทางลมเรียกว่าอะไร มีหลักการทำงานอย่างไร
- เครื่องมือที่ใช้สำหรับตรวจสอบความเร็วลมเรียกว่าอะไร
มีหลักการทำงานอย่างไร
ขั้นสรุป
- ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับการวัดลม
กิจกรรมเสนอแนะ
1.
นักเรียนแบ่งกลุ่มปฏิบัติกิจกรรม สังเกตการวัดความเร็วลม (1) และกิจกรรม
สังเกตการวัดความเร็วลม (2)
2.
ให้นักเรียนออกแบบและสร้างเครื่องมือตรวจสอบทิศทางลม
โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น และระบุถึงอุปกรณ์ที่ใช้และวิธีสร้างเครื่องมือ
พร้อมคำอธิบายประกอบ
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. กังหันที่ทำมาจากกระดาษ
2. ใบงานที่ 9
ประดิษฐ์เครื่องมือตรวจสอบทิศทางของลมอย่างง่าย
3. ใบงานที่ 10 ประดิษฐ์เครื่องมือตรวจสอบความเร็วลมอย่างง่าย
4. ใบงานที่ 11
สังเกตการวัดความเร็วลม (1)
5. ใบงานที่ 12
สังเกตการวัดความเร็วลม (2)
6.
หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน วิทยาศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
การวัดและการประเมินผล
สิ่งที่ต้องการวัด
|
วิธีการวัด
|
เครื่องมือวัด
|
เกณฑ์การประเมินผล
|
1. ด้านความรู้ความเข้าใจ
|
-
ซักถามความรู้เรื่องการวัดลม
-
ให้นักเรียนบันทึกสิ่งที่เรียนรู้
-
ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม
-
ประเมินกิจกรรมฝึกทักษะระหว่างเรียน
- ทดสอบหลังเรียน
|
- สมุดบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
2. ด้านทักษะกระบวน
การ
|
- ให้นักเรียนศึกษาหาความรู้จากใบความรู้โดยใช้กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์
- ประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
- สังเกตการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
|
-
ใบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
60
|
3. ด้านเจตคติทางวิทยา
ศาสตร์
|
- สังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน
|
-
แบบประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์
|
ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ
2
|
บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ปัญหาและอุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนวทางการแก้ไขเพื่อจะนำไปใช้ในครั้งต่อไป
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………ผู้สอน
(นางสาวสลาลี
โรจน์สุวรรณ)
ข้อเสนอแนะของครูพี่เลี้ยง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………..……………….อาจารย์พี่เลี้ยง
(นางพรทิพย์ เชยบัวแก้ว)
ใบงานที่ 9
ประดิษฐ์การทำเครื่องมือตรวจสอบทิศทางของลมอย่างง่าย
ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………
อุปกรณ์
1.
กระดาษแข็งขนาดประมาณ 20 ซม. × 15 ซม. 1 แผ่น
2.
คลิปหนีบกระดาษ 2 อัน
3.
แกนไม้เล็ก ๆ ยาวประมาณ 10 ซม. 1 อัน
4.
เทปกาว 1
ม้วน
5.
หลอดกาแฟ 1 หลอด
6.
ก้อนดินน้ำมัน 1
ก้อน
7.
กรรไกร 1 อัน
8. เส้นด้ายยาวประมาณ 20 ซม. 1
เส้น
ขั้นตอนการสังเกต
1.
นำคลิปหนีบกระดาษ 2 อัน มาง้างให้ปลายข้างหนึ่งยืดออก ดังรูป (ก)
2.
นำคลิปหนีบกระดาษที่ง้างเสร็จแล้วทั้ง 2 อัน ติดเข้ากับแกนไม้ โดยรัดปลายคลิปหนีบกระดาษด้วยเส้นด้าย
แล้วพันด้วยเทปกาวให้แน่น
3.
นำลูกศรที่ตัด ดังรูป
(ข) มาติดเข้ากับคลิปหนีบกระดาษทั้ง 2 อัน พร้อมกับนำแกนไม้สอดเข้าไปในหลอดกาแฟที่ปักอยู่บนก้อนดินน้ำมัน
ดังรูป (ค)
4.
นำเครื่องมือที่สร้างขึ้นไปวางไว้ในบริเวณที่มีลมพัด แล้วสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของลูกศร
และสังเกตทิศที่ลูกศรชี้ไป
คำถามท้ายกิจกรรม
1.
เมื่อตั้งอุปกรณ์ไว้ในบริเวณลมพัด
ลูกศรจะชี้ไปในทิศทางใด
……………………………………………………………………………………………………….
2.
ความยาวของลูกศรที่ตัดจากกระดาษแข็ง
ถ้าแตกต่างกันจะมีผลต่อการวัดทิศทางลมหรือไม่
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.
การนำศรลมไปตั้งในบริเวณที่แตกต่างกัน
มีผลต่อการวัดทิศทางลมหรือไม่
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4.
การบอกทิศทางของลมจากศรลมดูได้อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5.
หลักการของศรลม นักวิทยาศาสตร์นำไปประดิษฐ์เครื่องมือวัดทิศทางลมมีชื่อว่าอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบงานที่ 10
ประดิษฐ์การทำเครื่องมือตรวจสอบความเร็วของลมอย่างง่าย
ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………
อุปกรณ์
1.
กระดาษรูปวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 ซม. 3
ชิ้น
2.
คลิปหนีบกระดาษ 3
อัน
3.
แกนไม้เล็ก ๆ ยาวประมาณ 10 ซม.
1 อัน
4.
เทปกาว 1
ม้วน
5.
หลอดกาแฟ 1
หลอด
6.
ก้อนดินน้ำมัน 1 ก้อน
7.
กรรไกร 1
อัน
8.
เส้นด้ายยาวประมาณ 20 ซม. 1
เส้น
ขั้นตอนการสังเกต
1.
ตัดกระดาษเป็นรูปวงกลมที่มีขนาดเท่ากัน 3 อัน แล้วพับเป็นรูปกรวย ดังรูป (ก) จากนั้นจึงใช้เทปกาวหรือทากาวติดให้แน่น
2.
ดัดง้างคลิปหนีบกระดาษ 3 อันให้ปลายข้างหนึ่งยืดออกมา แล้วนำมาผูกติดกับแกนไม้ที่เตรียมไว้ด้วยเส้นด้ายให้แน่น
จากนั้นจัดให้คลิปหนีบกระดาษทำมุมเท่า ๆ กัน ดังรูป (ข)แล้วจึงใช้เทปกาวพันให้แน่น
3.
นำกรวยกระดาษที่เตรียมไว้ มาติดที่ปลายของคลิปหนีบกระดาษทั้ง 3 อัน ด้วยเทปกาวโดยจัดให้ปากกรวยหันไปในทางเดียวกัน
จากนั้นจึงจับแกนไม้สอดเข้าไปในหลอดกาแฟที่ปักยึดติดอยู่กับก้อนดินน้ำมัน ดังรูป
(ค)
4.
นำเครื่องมือที่สร้างขึ้นไปวางไว้ในบริเวณที่มีลมพัด แล้วสังเกตการเคลื่อนไหวของกรวยกระดาษ
และความเร็วของการเคลื่อนไหว
|
สรุปผล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามท้ายกิจกรรม
1.
เมื่อตั้งอุปกรณ์ไว้ในบริเวณที่ลมพัด
กรวยกระดาษจะมีลักษณะอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………
2.
ถ้านักเรียนตัดกระดาษที่ใช้ทำกรวยมีขนาดไม่เท่ากันแล้ว
จะมีผลต่อการทดลองหรือไม่
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.
การนำกรวยกระดาษไปตั้งในบริเวณที่แตกต่างกัน
มีผลต่อการวัดความเร็วลมหรือไม่
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………....
4.
การบอกความเร็วลมจากกรวยกระดาษพิจารณาจากอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5.
หลักการของกรวยกระดาษ นักวิทยาศาสตร์นำไปประดิษฐ์เครื่องมือวัดความเร็วลมมีชื่อว่าอะไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบงานที่ 11
สำรวจการวัดความเร็วลม (1)
ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………..............
อุปกรณ์
1. เครื่องมือตรวจสอบความเร็วของลมอย่างง่าย 1
เครื่อง
2. นาฬิกาจับเวลา 1
เรือน
ขั้นตอนการสำรวจ
1.
ให้นักเรียนนำเครื่องตรวจสอบความเร็วของลมที่ประดิษฐ์ขึ้นในการทำกิจกรรมที่ 33 มาตรวจสอบความเร็วลมโดยตั้งเครื่องตรวจสอบความเร็วของลมไว้ตรงบริเวณที่โล่งแจ้ง
ดังรูป
2.
วัดความเร็วลมที่เวลาต่าง ๆ กันใน 1 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ 08.00 น., 10.00 น., 12.00 น., และ 16.00 น. ตามลำดับ จับเวลาการหมุนของกรวยกระดาษครบ
50 รอบ บันทึกผลการตรวจสอบ
บันทึกผลการสำรวจ
วันที่ตรวจสอบ
|
เวลาที่ตรวจสอบ
|
เวลาที่กรวยกระดาษหมุนครบ
50 รอบ
|
|
08.00 น.
10.00 น.
12.00 น.
16.00 น.
|
|
สรุปผล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
คำถามท้ายการทดลอง
1.
นักเรียนควรสังเกตสิ่งใดในการปฏิบัติกิจกรรมนี้
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2.
เวลาที่กรวยกระดาษหมุนครบ 50 รอบที่เวลาต่าง
ๆ กัน มีค่าเป็นอย่างไร
……………………………………………………………………………………………………….
3.
การที่เวลาจากการหมุนของกรวยกระดาษครบ
50 รอบมีค่าแตกต่างกัน นักเรียนคิดว่าขึ้นอยู่กับสิ่งใด
………………………………………………………………………………………………………
4.
ความเร็วลมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วงเวลาต่าง
ๆ กัน
……………………………………………………………………………………………………….
ใบงานที่ 12
สำรวจการวัดความเร็วลม (2)
ปัญหา
……………………………………………………………………………………………………………......
อุปกรณ์
1. เครื่องมือตรวจสอบความเร็วของลมอย่างง่าย 1 เครื่อง
2. นาฬิกา 1 เรือน
ขั้นตอนการสำรวจ
1.
นำเครื่องตรวจสอบความเร็วของลมที่ประดิษฐ์ขึ้นในการทำกิจกรรมที่ 33 มาตรวจสอบความเร็วลมโดยตั้งเครื่องตรวจสอบความเร็วของลมไว้ตรงบริเวณที่โล่งแจ้ง
ดังรูป
2.
วัดความเร็วลม ณ เวลาเดียวกันใน 1 สัปดาห์ โดยจับเวลาการหมุนของกรวยกระดาษ ครบ 50 รอบ
ที่เวลา 12.30 น.
บันทึกผลการสำรวจ
บันทึกผลการสำรวจ
วันที่ตรวจสอบ
|
เวลาที่ตรวจสอบ
|
เวลาที่กรวยกระดาษหมุนครบ 50 รอบ
|
|
12.30 น.
12.30 น.
12.30 น.
12.30 น.
12.30 น.
12.30 น.
12.30 น.
|
|
สรุปผล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามท้ายการทดลอง
1.
ควรตั้งอุปกรณ์ไว้ในบริเวณใด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2.
เวลาที่กรวยกระดาษหมุนครบ 50 รอบ ณ
เวลาเดียวกันในแต่ละวัน มีค่าเป็นอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.
ความคลาดเคลื่อนของกิจกรรมนี้อาจเกิดจากอะไรบ้าง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น